นกรู้พลวัต 2016
ไม่มีอะไรที่เกินคาด เมื่อกองทุนในประเทศ ทำตัวเป็นนกรู้ล่วงหน้าเมื่อวานนี้ ด้วยการขายหุ้นทิ้ง 9,614 ล้านบาท แต่หักกลบแล้ว คิดเป็นขายสุทธิมากกว่า 3,808 ล้านบาท ส่วนต่างชาติแม้จะยังเดินหน้าซื้อต่อเนื่องตามกระแสฟันด์โฟลว์ โดยซื้อมากถึง 18,315 ล้านบาท แต่เมื่อหักลบเข้าซื้อสุทธิลดลงเยอะเหลือเพียงแค่ 751 ล้านบาท เท่านั้น
วิษณุ โชลิตกุล
ไม่มีอะไรที่เกินคาด เมื่อกองทุนในประเทศ ทำตัวเป็นนกรู้ล่วงหน้าเมื่อวานนี้ ด้วยการขายหุ้นทิ้ง 9,614 ล้านบาท แต่หักกลบแล้ว คิดเป็นขายสุทธิมากกว่า 3,808 ล้านบาท ส่วนต่างชาติแม้จะยังเดินหน้าซื้อต่อเนื่องตามกระแสฟันด์โฟลว์ โดยซื้อมากถึง 18,315 ล้านบาท แต่เมื่อหักลบเข้าซื้อสุทธิลดลงเยอะเหลือเพียงแค่ 751 ล้านบาท เท่านั้น
ส่วนรายย่อย กลายเป็นคนที่ติดกับมากที่สุด เพราะหลงระเริงว่าเงินบาทที่แข็งค่าน่าจะดันให้หุ้นเดินหน้าต่อตามที่นักวิเคราะห์วาดฝันว่าจะไปได้ไกลกว่า 1,550 จุด เพื่อที่จะพบว่า รายย่อยก็กลายสภาพเป็นเทวดาตกสวรรค์
หากเราเชื่อตามที่นักลงทุนบางคนที่มีประสบการณ์สูงเชื่อว่า ตัวเลขไม่เคยโกหก และเซียนหุ้นขาใหญ่บางคนบอกว่า เส้นกราฟไม่เคยโกหก ก็ต้องยอมรับสภาพกันว่า การที่เส้นกราฟเสียฟอร์มเมื่อวานนี้ ส่งสัญญาณทางลบต่อดัชนีอย่างชัดเจนในอนาคต
แม้สถานการณ์ดังกล่าวอาจจะมีคนโต้แย้งว่า ไม่น่าจะเลวร้ายอะไรตราบใดที่ฟันด์โฟลว์ยังเข้าต่อเนื่อง ซึ่งก็ไม่มีใครกล้าการันตีได้เลยว่า ฟันด์โฟลว์จะกลับออกไปเมื่อใด
หากชำเลืองดูทิศทางของราคาหุ้นตั้งแต่บ่ายวานนี้ทั้งในยุโรป และดาวโจนส์ล่วงหน้า จะเห็นว่าทิศทางเสื่อมถอยของตลาดหุ้นเริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเพราะเมื่อราคาหุ้นพลังงานร่วงลงตามกระแสราคาน้ำมันที่ถูกกองทุนเก็งกำไรพากันขายทิ้งต่อเนื่อง โดยมุ่งความคาดหวังว่า ราคาน้ำมันน่าจะลงไปที่เป้าหมายระดับ 35 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอีกครั้ง
มิหนำซ้ำ ข้อมูลล่าสุดวานนี้ที่สหพันธ์พลาธิการและการจัดซื้อของจีน (CFLP) และสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนประจำเดือนกรกฎาคม ลดต่ำลงมาอยู่ที่ระดับ 49.9 ลดลงจาก 50.0 ในเดือนมิถุนายน โดยดัชนีหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน
ข่าวร้ายดังกล่าวที่สะท้อนว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจจีนยังคงหมิ่นเหม่และน่ากังวลต่อไปอีกนานพอสมควร ไม่น่าวางใจ ความรู้สึกดังกล่าวสะท้อนออกมาด้วยการที่ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบแรงเมื่อวานนี้ หลังจากมีรายงานออกมา มากถึง 25.95 จุด หรือ -0.87% แตะที่ 2,953.39 จุด ไม่สามารถกลับขึ้นไปเหนือ 3,000 จุดได้อีก
ข่าวร้ายจากภายนอกของตลาดหุ้นไทย ผสมโรงเข้ากับความกังวลจากการลงประชามติเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ ที่จะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคมนี้ ทำให้แรงขายของกองทุนที่มากกว่าปกติเมื่อวานนี้จนดัชนีเสียรูปทรง เป็นสัญญาณร้ายต่อขาขึ้นของดัชนีอย่างชัดเจน แต่หากถามว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ควรเกิดขึ้นได้หรือไม่ คำตอบคือ สมควรอย่างยิ่ง
หากมองย้อนหลังกลับไป จะพบว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมอันเป็นวันเริ่มต้นทำการของเดือน อยู่ที่ระดับ 1,444.99 จุด และสิ้นสุดในวันที่ 29 กรกฎาคม ที่ระดับ 1,524.07 จุด บวกขึ้นมา 79.08 จุด มาจากกระแสฟันด์โฟลว์ไหลเข้าของต่างชาติล้วนๆ โดยที่ไม่ได้มีพื้นฐานเศรษฐกิจไทยรองรับแต่อย่างใด เพราะอย่างไรเสียคาดว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตไม่เกิน 3.0% เนื่องจากตัวเลขส่งออกย่ำแย่
แม้ว่าการแข็งค่าของบาทเกิดจากทุนเก็งกำไรหรือฟันด์โฟลว์ไหลเข้า เป็นข่าวดีว่าดัชนีหุ้นมีโอกาสสูงที่จะวิ่งขึ้นฝ่าแนวต้านต่อไปได้อีก ถึงขั้นที่นักวิเคราะห์พากันเมินเฉยข่าวร้ายจากธนาคารแห่งประเทศไทยว่า ตัวเลขการส่งออกไตรมาส 2 ของปี 2559 ยังคงติดลบต่อเนื่องที่ 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และจากไตรมาสแรกที่ติดลบ 1.4% ทั้งนี้ เป็นการติดลบเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2557 ที่ขยายตัว 1.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2556 ทำให้การส่งออกครึ่งปีแรก 2559 ติดลบ 2.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
บังเอิญนักวิเคราะห์ไม่ได้เป็นผู้ทรงอิทธิพลมากมายเหนือตลาด เพราะบรรดาผู้เล่นที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือคิดตามเสมอไป ปรากฏการณ์ขายทิ้งหุ้นโดยไม่ใส่ใจกับต้นทุนของกองทุนเมื่อวานนี้ ที่ทำให้สถานการณ์ของตลาดเปิดที่ค่อนข้างสูงบวกไปมากกว่า 9 จุด พลิกกลับในภาคบ่ายกลายเป็นการลบมากกว่า 11 จุด รวมแล้ว มีแรงเหวี่ยงทั้งวันมากกว่า 20 จุด
สถานการณ์ที่ตลาดมีการปรับตัวลง และเส้นกราฟของดัชนีเสียรูปทรงอย่างมาก ทำให้แม้ว่าในวันนี้ จะเกิดปรากฏการณ์รีบาวด์กลับ ก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่า “อารมณ์ตลาด” ได้เปลี่ยนไปอย่างยากที่จะมีแรงซื้อรุนแรงแบบเดิมได้อีก
ข้อสรุปดังกล่าวข้างต้น ไม่ใช่สัจจะทั่วไป แต่มีเงื่อนไขกำกับด้วยเสมอ เหตุผลเพราะ ทั้งตัวเลขและเส้นกราฟมีเงื่อนเวลากำกับอยู่ด้วยเสมอ บางครั้งตัวเลขเฉพาะหน้าอาจจะเป็นตัวเลขลวงหลอกในระยะยาวได้ ในขณะที่ข้อเท็จจริงในระยะสั้น อาจจะเป็นมายาในระยะยาวระยะกลาง
ข้อสรุปเก่าแก่ของนิกายเซนในหนังสือความฝันในหอแดงที่ว่าภาพมายากลายเป็นสัจจะ สัจจะก็อาจจะกลายเป็นมายาได้ จึงลึกซึ้งเสมอ
ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 ของสหรัฐที่ขยายตัวเพียง 1.2% ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.6% โดยได้รับผลกระทบจากสต๊อกสินค้าคงคลังที่ลดต่ำลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2011 และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 90.0 ในเดือนกรกฎาคม จากระดับ 93.5 ในเดือนมิถุนายน และย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 90.5 ทำให้ขาขึ้นของดาวโจนส์ ถูกจำกัดลง และค่าดอลลาร์อ่อนลงเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา
ดอลลาร์ที่อ่อน ซึ่งเคยส่งผลให้เงินในเอเชียแข็งค่าขึ้นมาก โดยเฉพาะค่าเงินบาท มีแรงซื้ออย่างหนักจนแข็งค่าต่อเนื่องมาที่ 34.75 บาทต่อดอลลาร์ แข็งสุดในรอบ 3 เดือน ไม่สามารถจีรังยั่งยืนได้ เพราะมีสัญญาณชัดเจนว่า แบงก์ชาติของไทยจะไม่อยู่เฉยต่อข้อเรียกร้องของผู้ส่งออกได้ หากว่าค่าบาทแข็งเกินกว่า 34.50 บาทต่อดอลลาร์ได้
ผู้จัดการกองทุนในประเทศที่เป็น “ม้าแก่ชำนาญทาง” สามารถตัดสินใจขายทิ้งหุ้นเพื่อทำกำไรได้อย่างสะดวกใจเพราะรู้ดีว่า หนทางขาขึ้นได้มาถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว จะบอกว่าทวนกระแสก็คงไม่ใช่ เพราะอย่าลืมว่า ปัจจุบันมีโปรแกรมซื้อขายหุ้นอีเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยให้การตัดสินใจเข้าซื้อหรือขายมีความแม่นยำกว่าในอดีต
เกมนกรู้ของกองทุนเมื่อวานนี้ จึงเป็นการกระทำที่ “ถึงเวลาสมควร” อย่างแท้จริง และเป็นสถานการณ์ที่ควรจะต้องเกิดขึ้นมาตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้ว เพียงแต่เวลายังไม่เหมาะสมเท่านั้นเอง