พาราสาวะถี อรชุน
เหตุเผาและวางระเบิดในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้บวกกับที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในวันแม่แห่งชาติ มีเสียงวิจารณ์กันมาอย่างกว้างขวาง และในเวลาไม่นานก็มีการไล่ตามจับกลุ่มแนวร่วมนปช.หรือคนเสื้อแดงในหลายจังหวัดไปเข้าค่ายทหาร เป็นการโฟกัสไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นที่ต้องสงสัยของฝ่ายความมั่นคงว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์
เหตุเผาและวางระเบิดในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้บวกกับที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในวันแม่แห่งชาติ มีเสียงวิจารณ์กันมาอย่างกว้างขวาง และในเวลาไม่นานก็มีการไล่ตามจับกลุ่มแนวร่วมนปช.หรือคนเสื้อแดงในหลายจังหวัดไปเข้าค่ายทหาร เป็นการโฟกัสไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นที่ต้องสงสัยของฝ่ายความมั่นคงว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์
ไม่เพียงเท่านั้น สุเทพ เทือกสุบรรณ ยังประสานเสียงเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับ พุทธะอิสระ ชี้นิ้วไปยังทั้งคนบงการและกลุ่มก่อเหตุประมาณว่ารู้ดีกว่าฝ่ายการข่าวและความมั่นของรัฐบาลเสียอีก ตรงนี้ต่างหากที่ต้องขีดเส้นใต้ เช่นเดียวกับท่าทีของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แถลงข่าวด้วยท่วงทำนองอันสุขุมคัมภีรภาพ ชี้แจงอย่างมีวุฒิภาวะของผู้นำประเทศ โดยการเรียกร้องอย่าให้นำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปโทษกันไปมาว่าเป็นฝีมือของกลุ่มใด
แต่พอตัดภาพไปยังการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของเจ้าหน้าที่ในการควบคุมตัวแกนนำคนเสื้อแดงไปเข้าค่ายทหารแล้ว ท่วงทำนองดังกล่าวของท่านผู้นำก็หายวับไปกับตาทันที เพราะเมื่อนำไปปะติดปะต่อกับท่าทีของเทพเทือกและพุทธะอิสระ ระวังจะเข้าข่ายสมรู้ร่วมคิด ยัดเยียดและกล่าวหาแต่คนฝ่ายเดียว โดยที่ไม่ดำเนินการทุกอย่างให้รอบคอบรัดกุมเสียก่อน
ต้องไม่ลืมกรณีเหตุการณ์ระเบิดที่แยกราชประสงค์ วันนั้นหลังเหตุระเบิดไม่ถึงชั่วโมง สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลก็รีบให้ข่าวว่าเป็นฝีมือของผู้ที่สูญเสียประโยชน์ทางการเมือง สุดท้ายผลก็เป็นอย่างที่เห็น หนนี้ก็เช่นเดียวกัน อย่าเพิ่งด่วนสรุป เพราะการออกมาแถลงปฏิเสธของ พันเอกปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคสช.เรื่องไม่เกี่ยวกับโผโยกย้ายนายทหารนั้น มันเป็นอะไรที่ชวนให้คิดอยู่ไม่น้อย
หากยืนยันประสาทหารว่าจะไม่ทำร้ายประชาชน คนก็ยังทำใจให้เชื่อได้ แต่เมื่อมองไปยังเหตุของความขัดแย้งและบุคคลที่อยู่เบื้องหลังของแต่ละฝ่าย มันกลับชวนให้คิดได้ว่า คนเหล่านั้นช่างใจดำอำมหิตอย่างยิ่งที่ใช้ชีวิตของประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เป็นเครื่องสังเวยการแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจซึ่งไม่ได้จีรังยั่งยืนแต่อย่างใด
เหตุผลที่วิจารณ์กันในทางลับก็คือ มีความพยายามของฝ่ายหนึ่งต้องการให้มีการต่ออายุราชการของผู้กุมอำนาจในกองทัพบางราย ซึ่งขัดใจกับฝ่ายที่ถืออำนาจ เพราะต้องการผลักดันเด็กในคาถาขึ้นสู่เก้าอี้ที่สำคัญ ประกอบกับระยะหลังบุคคลที่ถูกถือหางให้ต่ออายุก็เริ่มมีท่าทีที่เหินห่าง ยิ่งทำให้เกิดความไม่พอใจของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
การงัดข้อกันในลักษณะเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อคราวฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้ายเมื่อปีกลาย ก่อนที่จะเกิดเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์นั่นแหละ ตรงนี้ถือเป็นเรื่องที่คนซึ่งเกาะกุมอำนาจไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ตามน่าจะรู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดี หากต่อจิ๊กซอว์เข้ากับสถานที่ก่อเหตุโดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าสถานีตำรวจ ถามว่างานด้านการข่าวไม่ระแคะระคายบ้างเลยหรือ
มากไปกว่านั้นในสถานการณ์ที่เฝ้าระวังกันอย่างเต็มที่จะมีใครหน้าไหนกล้าที่จะก่อเหตุรุนแรงในลักษณะที่โยงใยเป็นเครือข่ายและเลือกเป้าหมายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะที่อำเภอหัวหิน จึงมีคำถามว่า เหตุที่เกิดขึ้นเช่นนี้การข่าวไร้ประสิทธิภาพหรืองานด้านความมั่นคงหละหลวม หากเป็นสองเรื่องนี้ถามว่าใครที่ดูแลจะต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างไร
อย่างไรก็ดี ประเด็นเรื่องที่คนมีสีลงมือก่อเหตุในครั้งนี้ ทางผู้มีอำนาจควรที่จะส่งหนังสือขอบคุณ แอนโทนี เดวิส นักวิเคราะห์ประจำประเทศไทยของกลุ่มไอเอชเอส-เจนส์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลข่าวความมั่นคงและการทหาร ซึ่งให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยถึงกรณีเหตุการณ์วางระเบิดที่เกิดขึ้นใน 7 จังหวัดดังกล่าวอย่างน่าสนใจ
โดยในประเด็นเรื่องฝีมือของกลุ่มคนบางส่วนในกองทัพที่มีความไม่พอใจในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องที่จะมีการโยกย้ายกำลังทหารบางส่วนออกจากพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เดวิสชี้ว่า จริงอยู่ในทางศักยภาพ พวกเขาอาจจะสามารถลงมือได้ แต่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้และไม่สมเหตุสมผลอย่างสิ้นเชิง
แต่ที่อาจจะขัดใจฝ่ายผู้มีอำนาจคงเป็นความเห็นใน 2 ประเด็นคือ เหตุระเบิดครั้งนี้อาจจะเป็นฝีมือของคนในกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่ เดวิสชี้ว่า เขาสงสัยอย่างยิ่ง เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงที่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นคนลงมือ เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อผลการลงประชามติและต้องการลดความน่าเชื่อถือของคสช.นั้น เมื่อคำนึงถึงเหตุผลและเวลาของการลงมือนับว่าไม่สอดคล้องกัน ตลอดจนศักยภาพไม่น่าจะทำได้
โดยเขาชี้ให้เห็นว่า เมืองไทยลงประชามติวันที่ 7 สิงหาคม เหตุการณ์เกิดขึ้นวันที่ 11-12 สิงหาคม คนเสื้อแดงจะทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้โดยมีเวลาเตรียมการแค่สามวัน มันจะเป็นไปได้อย่างไร การลงมือในระดับนี้ต้องการการเตรียมตัวที่ยาวนาน ขณะเดียวกันทหารติดตามความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงมาช้านาน แกนนำเสื้อแดงทุกคนล้วนถูกจับตา เจ้าหน้าที่มีข้อมูลของคนพวกนี้อย่างละเอียดยิบ การจะทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้โดยที่เจ้าหน้าที่ไม่ระแคะระคายเลยนั้น นับเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้
สิ่งที่เดวิสมั่นใจเป็นอย่างมากก็คือ ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณการลงมือของกลุ่มบีอาร์เอ็นทั้งสิ้น แม้จะมีการพูดคุยกับรัฐบาล แต่เป็นที่รู้กันว่าปีกการทหารของบีอาร์เอ็นไม่พอใจกับการพูดคุยนั้น นี่อาจจะเป็นการส่งสัญญาณให้ทางการไทยเอาจริงเอาจังเสียที โดยบอกเป็นนัยว่า ทางกลุ่มสามารถจะสร้างความเสียหายได้มากกว่านี้ถ้าต้องการ แม้เจ้าหน้าที่อาจจะมีกำลังคนร่วม 7 หมื่นคนในสามจังหวัดภาคใต้ แต่ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ไม่มีกำลังดูแลมากขนาดนั้น
ปริศนาทิ้งท้ายของเดวิสยิ่งน่าสนใจ โดยเขาเชื่อว่าบีอาร์เอ็นต้องการบอกอะไรสักอย่างกับรัฐบาลทหารของไทยผ่านการลงมือหนนี้ และเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงจะอ่านออก แต่สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นคือ สังคมไทยอาจจะไม่มีวันได้รู้อย่างชัดเจนเลยว่า ใช่บีอาร์เอ็นจริงหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรอการแถลงยืนยันความรับผิดชอบ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา กลุ่มบีอาร์เอ็นไม่เคยแสดงตัวรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ใด ที่มากไปกว่านั้นคือ ฝ่ายรัฐเองก็ไม่มีทางที่จะยืนยันว่านี่เป็นฝีมือของโจรใต้เพราะเท่ากับเป็นการตบหน้าตัวเองและทำให้รัฐบาลคสช.เสียหน้าสุดๆ
/////