ชอบตัวไหน..ใส่ตัวนั้นโมนิก้าและทีมงาน
*ดูเหมือนบรรยากาศการลงทุนไม่ค่อยมีอะไรที่ตื่นเต้นเร้าใจสักเท่าไหร่ นักลงทุนเลยออกอาการเฉื่อยๆ เหนื่อยๆ เซ็งๆ กันเป็นแถว ซึ่งเห็นได้จากหุ้นบางตัวที่กระชากขึ้นมาถึงจุดสูงสุดเดิม ต่อจากนั้นออกอาการเหมือนจะไปไม่ไหว จนผู้เล่นเกิดอาการฝ่อขึ้นมาในทันที มันเป็นจังหวะที่ทำให้การขึ้นไปยืนเหนือ 1,550 จุด ไม่ง่ายเหมือนที่บางคนกำลังพูดถึงแล้วนะคะ
*ดูเหมือนบรรยากาศการลงทุนไม่ค่อยมีอะไรที่ตื่นเต้นเร้าใจสักเท่าไหร่ นักลงทุนเลยออกอาการเฉื่อยๆ เหนื่อยๆ เซ็งๆ กันเป็นแถว ซึ่งเห็นได้จากหุ้นบางตัวที่กระชากขึ้นมาถึงจุดสูงสุดเดิม ต่อจากนั้นออกอาการเหมือนจะไปไม่ไหว จนผู้เล่นเกิดอาการฝ่อขึ้นมาในทันที มันเป็นจังหวะที่ทำให้การขึ้นไปยืนเหนือ 1,550 จุด ไม่ง่ายเหมือนที่บางคนกำลังพูดถึงแล้วนะคะ
*ฉะนั้นการที่ดัชนีแกว่งตัวไปมา ก่อนจะเด้งขึ้นมาปิดที่ 1,552.64 จุด บวกไป 4.51 จุด ด้วยมูลค่า 7.70 หมื่นล้านบาท มันเป็นจังหวะที่ทำให้รู้ว่า หุ้นบลูชิพยังเป็นแกนหลักของตลาดหุ้นไทย! โดยกิมมิคที่เอามาปั่นกระแสในเที่ยวนี้ ก็เป็นเรื่องผลประกอบการล้วนๆ ซึ่งหาอ่านได้จากบทวิเคราะห์ค่ายต่างๆ หลังจากพยายามเข็นออกมาอย่างต่อเนื่องพะยะค่ะ
*เหมือนกับการทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงของ CPALL จนสุดท้ายกระโดดขึ้นมาปิดที่ 59.25 บาท บวกไป 4.50 บาท หรือขึ้นไป 8.20% ด้วยมูลค่า 4.30 พันล้านบาท มันเป็นการตอกย้ำเรื่องผลประโยชน์ มีความสำคัญมากเป็นอันดับหนึ่ง จึงไม่ต้องสนใจเรื่องเก่าในอดีตว่า เป็นไง..มาไง ? จึงขอแสดงความยินดีกับพวกกองทุนปากว่าตาขยิบที่สามารถโกยกำไรจากหุ้นตัวนี้กันอย่างสนุกสนานเจ้าค่ะ
*ส่วนในรายของ CPF กระชากทีเดียวทะลุกรอบแนวต้าน 30 บาท ก่อนจะลงเอยที่ระดับ 31.50 บาท บวกไป 1.75 บาท หรือขึ้นไป 5.90% ด้วยมูลค่า 4.20 พันล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องที่ผิดคาดมากๆ พร้อมกับเป็นการยืนยันฐานแนวรับใหม่ได้ยกตัวสูงขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้จะต้องดูกันต่อไปว่า หุ้นจะยืนระยะได้นานขนาดไหน? จึงอย่าเพิ่งดีใจเกินหน้าเกินตานะคะ
*เช่นเดียวกับในรายของ DTAC กระชากขึ้นมาปิดที่ 37.50 บาท บวกไป 1.75 บาท หรือขึ้นไป 4.90% ด้วยมูลค่า 2.58 พันล้านบาท พร้อมกับชนเส้นแนวต้าน 200 วัน ที่บริเวณ 38 บาท เดี๊ยนถือเป็นการพิสูจน์ให้ชาวหุ้นได้เห็นกันอีกครั้งว่า “เงินฝรั่งหัวทอง” กับ “สัญญาณเทคนิค” อันไหนจะแน่กว่ากัน! ใครถือหุ้นตัวนี้ต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิด ห้ามกะพริบตาเป็นอันขาดนะจะบอกให้
*อีกหนึ่งรายที่ห้ามละสายตาก็คือ AAV ซึ่งมีข่าวเม้าท์กันอย่างสนุกสนานว่า การขึ้นแรงเที่ยวนี้เป็นผลมาจากยุทธการ “คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก” เพราะสิ่งที่ผู้กุมบังเหียนต้องการในเที่ยวนี้ มันเป็นเรื่องเข้าไปบริหารสนามบินดอนเมือง ซึ่งเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะทำให้แวลูกิจการพุ่งสูงขึ้นในทันที แถมยังมีประเด็นของการเข้าไปถือหุ้นสายการบินอื่นแบบนี้กระมั้ง ราคาหุ้นถึงวิ่งขึ้นมาปิดที่ 7.50 บาท บวกไป 0.35 บาท หรือขึ้นไป 4.90% ด้วยมูลค่า 1.96 พันล้านบาทอย่างง่ายดาย เพราะราคาจริงๆ ที่กูรูหลายสำนักให้ไว้สูงกว่านี้… “อิอิอิ”
*เรื่องนี้เป็นจังหวะที่ต่อเนื่องกับเจ้าจำปี THAI หลังมีข่าวพัวพันกันมาระยะหนึ่ง เพียงแต่เรื่องดังกล่าวยังไม่ถูกบรรจุเป็นทางการ เลยดูเหมือนว่า ไม่มีอะไรในกอไผ่! แต่เผอิญมีจิ้งจกออกมาทักเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง ผสมกับแรงซื้อจากฝรั่งหัวทองเข้ามาหนุน หุ้นถึงวิ่งขึ้นมาปิดที่ 27.25 บาท บวกไป 2.35 บาท หรือขึ้นไป 9.45% ด้วยมูลค่า 1.75 พันล้านบาท จึงกลายเป็นหุ้นที่ผู้คนสนใจขึ้นมาในทันทีไงหละค่ะ
*อีกหนึ่งรายที่ถูกพาดพิงถึงเต็มๆ คงหนีไม่พ้น AOT เพราะทันทีที่มีข่าวเกี่ยวกับการยกสนามบินดอนเมืองให้กับสายการบินดังกล่าวบริหารงาน บรรดานกกระจิบนกกระจอกก็ส่งเสียงเม้าท์เรื่องดังกล่าวกันอย่างเจี๊ยวจ๊าว ขณะที่ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 420 บาท บวกไป 4 บาท ด้วยมูลค่า 1.24 พันล้านบาท มันเป็นสถานการณ์ที่ทุกอย่างเป็นใจให้สุดๆ หุ้นเลยต้องไปต่อแบบไม่มีเงื่อนไขนะคะ
*เม้าท์ถึงหุ้นใหญ่ๆ เยอะเกินไปแล้ว “โมนิก้า” ขอย้อนกลับมาดูไซส์กะทัดรัดอย่าง SENA เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนชอบเล่นหุ้นต่ำสิบ เพราะทันทีที่ประกาศกำไรไตรมาส 2 โต 10 เท่า หุ้นก็วิ่งขึ้นมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายปิดที่ระดับ 3.80 บาท บวกไป 0.24 บาท หรือขึ้นไป 6.70% พร้อมกับแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่า ขอขึ้นทดสอบแนวต้าน 4 บาทอีกรอบแบบนี้..ต้องตามไปดูแล้วหละค่ะ
*เช่นเดียวกับในรายของ WIIK สามารถทำกำไรได้โต 100% หุ้นเลยวิ่งขึ้นมาปิดที่ 3.68 บาท บวกไป 0.26 บาท หรือขึ้นไป 7.60% ด้วยวอลุ่มที่หนาแน่นแบบนี้ “โมนิก้า” ถึงมองว่า หุ้นกำลังทะยานขึ้นไปทดสอบ 4 บาทอีกครั้ง และถ้ามองในมุมของกำไรทั้งปีน่าจะอยู่ที่ระดับ 100 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นก็จะอยู่ราว 0.40 บาท หากคิดบนค่า P/E 15 เท่า หุ้นควรขึ้นไปยืนแถว 6 บาทนะคะ
*ตบท้ายกันที่พระเอกตัวจริง AJD กระชากขึ้นมาปิดที่ 1.88 บาท บวกไป 0.10 บาท หรือขึ้นไป 5.60% ด้วยมูลค่า 500 ล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นจังหวะที่เข้าทางหมดทุกอย่าง ธุรกิจเดิมก็ไปได้ดี ธุรกิจใหม่ก็ฉลุย แถมผู้บริหารอย่าง “เฮียอมร” เดินหางานไม่หยุดนิ่งแบบนี้..เป้า 2 บาทคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม! วันนี้ถึงต้องพูดกันตรงๆ ว่า หากกำไร Q2 ออกมาดีกว่า Q1 บวกกับไตรมาส 3-4 ทำกำไรได้พอๆ กับครึ่งปีแรก เดี๊ยนถึงมองว่า เป้า 3 บาทจิ๊บๆ นะจะบอกให้