ระเบิด กับ ฟันด์โฟลว์พลวัต 2016

เมื่อตอนที่เกิดระเบิดบริเวณศาลพระพรหม แยกราชประสงค์ และตามมาด้วยสะพานตากสินเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ร่วงลงต่อเนื่องนานนับสัปดาห์กว่า100 จุดกว่าจะตั้งหลักได้


วิษณุ โชลิตกุล

 

เมื่อตอนที่เกิดระเบิดบริเวณศาลพระพรหม แยกราชประสงค์ และตามมาด้วยสะพานตากสินเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ร่วงลงต่อเนื่องนานนับสัปดาห์กว่า100 จุดกว่าจะตั้งหลักได้ 

คำถามสำหรับนักลงทุนในตลาดยามนี้ หลังเกิดระเบิดและวางเพลิงเกือบ 20 จุดใน 7 จังหวัดภาคใต้ ไม่ใช่ใครทำ หรือมีแรงจูงใจอะไร แล้วใครได้ใครเสีย แล้วก็ไม่ใช่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือตก แต่ต้องการรู้ว่า เปิดเช้าวันจันทร์นี้ ดัชนีตลาดจะร่วงกี่จุด และหุ้นที่จะร่วงหนักเป็นหุ้นตัวไหน ที่สำคัญคือ จะลบนานแค่ไหน

คำตอบง่ายสุด แต่ค้นหาได้ยากสุดคือ เมื่อใดที่ข้อเท็จจริงถูกเปิดออกมาอย่างปราศจากความคลุมเครือ ดัชนีจะหยุดการร่วงลง แต่ถ้าเมื่อใดที่ความจริงไม่ถูกเปิดออกมา และทำให้ผู้คนหรือนักลงทุนตั้งคำถามว่า โอกาสที่จะมีเหตุร้ายเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมเป็นไปได้ต่อไป หุ้นจะร่วงยาว

หากดูจากปฏิกิริยาของซีกรัฐบาล ความไม่ชัดเจนที่ปรากฏออกมาจนถึงล่าสุด เป็นสิ่งที่ทำให้ยากจะเชื่อได้ว่า เกิดระเบิดและวางเพลิงเกือบ 20 จุดใน 7 จังหวัดภาคใต้ จะมีข้อเท็จจริงที่กระจ่างได้ภายในเร็ววัน 

นักลงทุนที่มีประสบการณ์ทำนองเดียวกันนี้มาก่อน สามารถสังเกตได้ง่ายดายว่า ระหว่างบรรทัดของคำแถลง ชี้ชัดว่านายกรัฐมนตรีทราบอยู่ก่อนแล้วว่า มีความพยายามของคนบางกลุ่มที่จะสร้างสถานการณ์ขึ้น และท่าทีของผู้ใหญ่ในรัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง และตำรวจจึงออกมาตรงกัน โดยให้น้ำหนักไปที่ปัญหาการเมืองภายในเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นข้อสรุปแบบ “ตาบอดคลำช้าง” โดยมีนัยสำคัญทางการเมืองคือ มุ่งไปที่ฝ่ายที่ถูกมองว่าอยู่ตรงข้ามรัฐบาลเพื่อหวังดิสเครดิต “จุดขาย” ของรัฐบาลว่า ไม่สามารถทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยอย่างแท้จริง

ที่น่าสนใจก็คือ มีการวิเคราะห์โดย”ผู้รู้”ที่มาพร้อมกับทฤษฎีสารพัด ที่นำเอาปัจจัยแวดล้อม และ ปฏิบัติการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยเชื่อมโยงมั่วซั่วไปหมด ก็ยิ่งกลับทำให้ความคลุมเครือยังดำรงอยู่ต่อไป เพราะเมื่อตั้งประเด็นว่าการวางระเบิดและวางเพลิงเกือบ 20 จุดใน 7 จังหวัดภาคใต้ครั้งนี้ มาจากการเมืองเสียแล้ว จุดจบของสถานการณ์จึงเป็นการหวังผลทางการเมือง เพื่อจะฉกฉวยกันต่อ ไม่ใช่การค้นหาข้อเท็จจริง 

เมื่อยังไม่มีฝ่ายไหนให้ความกระจ่างได้เลยว่า ปฏิบัติการใช้ความรุนแรงในระดับที่สามารถลงมือพร้อมกันได้ใน 7 จังหวัด 1)  ต้องใช้คนจำนวนมาก 2) ก่อเหตุในจุดที่สำคัญทางเศรษฐกิจ และ3) ต้องวางแผนมาอย่างดี ต้องใช้เวลาในการประสานงาน ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถลงมือทำได้ภายในไม่กี่วัน และต้องอาศัยเครือข่ายคนในประเทศสนับสนุน ด้วยวัตถุระเบิดขนาดเล็กพกพาได้ง่าย มุ่งสร้างผลกระทบในลักษณะ“โฆษณาติดอาวุธ” มากกว่าสร้างความเสียหายโดยตรง แต่กลไกรัฐที่มีกำลังติดอาวุธและกฎหมายเผด็จการมากมาย กลับไร้ประสิทธิภาพในการสื่อสารเพื่อเผยแพร่ข้อเท็จจริง นักลงทุนย่อมแสวงหา “ส่วนต่างแห่งความปลอดภัย” ไว้ก่อน

ยามนี้ ความปลอดภัยสูงสุดจริงๆ คือ “ขายก่อน ขาดทุนน้อยกว่า” 

แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญออกมาชี้ว่า เหตุรุนแรงนี้ จะเป็นเหมือนในอดีตคือ สังคมจะไม่มีทางรู้ความจริง แต่สำหรับนักลงทุน การไม่รู้ความจริง สามารถตีความได้อย่างเดียวคือ ขายออก ลดพอร์ต แล้วถือเงินสด

ความไม่แน่นอน ไปกันไม่ได้เลยกับตลาดเก็งกำไร  โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่ไม่เคยชื่นชอบระเบิดและความรุนแรงทุกชนิด

ที่ผ่านมาก่อนถึงวันศุกร์ที่มีเหตุระเบิดและความรุนแรงขึ้น มุมมองของนักลงทุนทั้งหลายยังเชื่อว่าตลาดหุ้นและตราสารหนี้ไทยยังเหมาะสำหรับการลี้ภัย จากการที่เฟดฯมีโอกาสจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ ทำให้เกิดแรงซื้อกลับมาในตลาดหุ้นนิวยอร์กและยุโรปพร้อมกันเมื่อคืนที่ผ่านมา จะทำให้ดัชนีหุ้นไทย (ซึ่งเพิ่งทำจุดสูงสุดในรอบ14 เดือน) มีโอกาสฝ่าแนวต้านจากกระแสฟันด์โฟลว์ไหลเข้า ทะลุแนวต้าน1,600 จุดไปได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ แต่สถานการณ์จากนี้ไป จะตรงกันข้ามอย่างพลิกผัน

ดัชนีร่วงไปที่แนวรับ1,500 จุด ดูจะร่วงน้อยเกินไปเสียแล้ว แม้ว่าจะมีคน “โลกสวย” มองว่านักลงทุนคุ้นเคยกับสถานการณ์นี้มานักต่อนักแล้ว(ซึ่งไม่เคยเป็นข้อเท็จจริง) 

หากถือหลักทฤษฎีง่ายๆ ที่คุ้นเคยกันมา การร่วงของดัชนีที่ระดับ10% หรือ155จุด น่าจะเป็นไปได้มากสุด ซึ่งหมายถึง แนวรับสำคัญน่าจะอยู่ที่ 1,450 จุด แต่การคาดเดานี้ มีโอกาสที่จะผิดได้

หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น

Back to top button