แรงอะไรเบอร์นั้น! 4 หุ้น mai7 เดือน รับรีเทิร์นเกิน 100%
แรงอะไรเบอร์นั้น! 4 หุ้น mai 7 เดือน รับรีเทิร์นเกิน 100% นำโดย KOOL,QTC,TVD และ TNH
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ mai ปรับตัวขึ้นแรงในรอบ 7 เดือน โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.58-29 ก.ค.59 โดยครั้งนี้จะขอนำเสนอหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเกิน 100 % เนืื่องจากเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานรองรับแข็งแกร่ง อีกทั้งให้ผลตอบแทนสูงเกินดัชนีตลาด mai ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 12.76 % โดยดัชนี ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 522.62 จุด บวกไป 66.68 จุด มาอยู่ที่ระดับ 589.30 จุด ณ วันที่ 29 ก.ค.59 โดยครั้งนี้มีหุ้นเข้าเกณฑ์ดังกล่าว 4 ตัว คือ KOOL,QTC,TVD และ TNH
หลักทรัพย์ | 29-ก.ค.-59 | 30-ธ.ค.-58 | เปลี่ยนแปลง | |
บาท | % | |||
KOOL | 5.60 | 1.25 | 4.35 | 348.00 |
QTC | 14.10 | 5.10 | 9.00 | 176.47 |
TVD | 2.96 | 1.16 | 1.80 | 155.17 |
TNH | 44.25 | 20.50 | 23.75 | 115.85 |
อันดับ 1 บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL ราคาช่วง 7 เดือนแรก ปรับตัวเพิ่มขึ้น 348% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 1.25 บาท บวก 4.35 บาท มาอยู่ที่ 5.60 บาท ณ วันที่ 29 ก.ค.59 ราคาหุ้นที่ปรับตัวแรง มีปัจจัยบวกหลายด้านอาทิแผนงานธุรกิจที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มผลการดำเนินงานที่สดใส ประกอบกับเทคนิคราคาหุ้นเป็นขาขึ้น อีกทั้งนักวิเคราะห์แนะนำเข้าซื้อยิ่งเป็นแรงหนุนให้หุ้นขึ้นแรง
ล่าสุดบริษัทปรับแผนธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมปรับเป้าหมายรายได้ปี 59 ใหม่ จากเดิมคาดการณ์ในช่วงต้นปีจะมีอัตราเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 40% เป็นเพิ่มขึ้น 50% จากรายได้ในปีที่ผ่านมา และปรับประมาณการอัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 10% ของรายได้
สำหรับส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 มีกำไรสุทธิ 85.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 155% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 33.48 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมียอดขายเพิ่มมาขึ้นในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 101.97ล้านบาท เพิ่มขึ้น 275% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 27.17 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ บริษัทยังประกาศจ่ายปันผล งวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค.2559 ถึงวันที่ 30 มิ.ย.2559 อัตราจ่ายเป็นเงินสด 0.03 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ไม่ได้รับสิทธิปันผลในวันที่ 22 ส.ค.2559 ทั้งนี้กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 ก.ย.59
อันดับ 2 บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC ราคาช่วง 7 เดือนแรก ปรับตัวเพิ่มขึ้น 176.47% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 5.10 บาท บวก 9.00 บาท มาอยู่ที่ 11.40 บาท ณ วันที่ 29 ก.ค.59 ราคาหุ้นที่ปรับตัวแรง มีปัจจัยหลายด้านอาทิ แผนงานธุรกิจที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มผลการดำเนินงานที่สดใส ประกอบกับบริษัทได้ประกาศเพิ่มทุนจาก 200 ล้านบาท เป็น 270 ล้านบาท โดยการเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด ในราคาหุ้นละ 4.70 บ. ทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคา
โดยภายหลังประกาศเพิ่มทุนดังกล่าวส่งผลให้กลุ่มนักลงทุนใหม่เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 25.93% จึงมีหน้าที่ต้องทำเทนเดอร์ฯหุ้นที่ราคา 7.75 บ. ยิ่งทำให้ราคาขยับขึ้นต่อเนื่องและกลายเป็นหุ้นพุ่งแรงในรอบ 7 เดือน
อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 มีผลขาดทุนสุทธิ 18.5 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.3 แสนบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกขาดทุนสุทธิ 43.30 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 8.42 ล้านบาท ดังนั้นการเข้าลงทุนก็ควรระวังแรงขายทำกำไรไว้ด้วย
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบมวิเคราะห์ว่า ตลาดเก็งกำไรเรื่องการเข้ามาของผู้ถือหุ้นใหม่ที่มีสายสัมพันธ์กับโรงไฟฟ้าในตปท.ที่ดี ซึ่งอาจหนุนกำไรในอนาคต แต่ราคาขึ้นมา 3 เท่าใน 4 เดือน เชื่อว่าราคาตอบสนองในทางบวกสูงเกินไป
ปรับคำแนะนำเป็น “ขาย” หลังราคาปรับตัวขึ้นมา 278% นับตั้งแต่เราเริ่มออกบทวิเคราะห์ใน ก.ค. ปีที่แล้วที่ราคา 4.40 บาท และแม้ว่าในกรณีที่ดีที่สุดให้ IRR ของโปรเจคใหม่ที่สูงถึง 17% และเงินลงทุนในโรงไฟฟ้าเพิ่ม 1,100 ล้านบาท ได้กำไรส่วนเพิ่มจากโรงไฟฟ้าเพียง 8.31 บาทต่อหุ้นและราคาพื้นฐานในกรณีที่ดีที่สุดอยู่ที่เพียง 12.03 บาท(fully diluted) ราคาก็ยังต่ำกว่าราคาปัจจุบัน ส่วนราคาฐานพื้นฐานกรณีฐาน IRR 15% เงินทุนส่วนเพิ่ม 800 ล้านบาทราคาพื้นฐานอยู่ที่ 9.04 บาท
อันดับ 3 บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 155.17% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 1.16 บาท บวก 1.80 บาท มาอยู่ที่ 2.96 บาท ณ วันที่ 29 ก.ค.59 ราคาหุ้นที่ปรับตัวแรง มีปัจจัยหลายด้าน อาทิ แผนงานธุรกิจปีนี้จะพลิกกำไร พร้อมล้างขาดทุนสะสม ประกอบกับโบรกเกอร์แนะนำให้ซื้อยิ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา
บล.เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ประเมินราคาเหมาะสมโดยใช้ EPS ปีหน้าที่ 0.18 บาท/หุ้น ในการประเมินราคาเหมาะสมและใช้เป้าหมาย PE 20 เท่า (Discount จากกลุ่มค้าปลีกตอนนี้ที่ 28-30 เท่า) ได้เป้าหมาย 3.6 บาท เนื่องจากประเมินว่าหากใช้ EPS ปีนี้จะไม่สะท้อน i) การรับรู้รายได้ธุรกิจโลจิสติกส์ และ ii) ประโยชน์ที่จะได้รับจาก Tri-stage
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 มีกำไรสุทธิ 18.47 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.45 ล้านบาท เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้นจากช่องทางการตลาดแบบตรง (ขายสินค้าทางทีวี) เนื่องจากช่องสถานีต่างๆ ถูกจัดเรียงลำดับลงตัว และช่องทาง Online ขยายตัวจากการพัฒนา Application และ Website ได้ดีขึ้น
อีกทั้งช่องทางการค้าทั่วไป (ร้านค้า) ยอดขายเพิ่มขึ้นผลจากการบริหารการขายอย่างใกล้ชิด ในสาขาที่มีศักยภาพ รวมถึงรายได้เพิ่มขึ้นจากการจัดส่งสินค้าให้ผู้บริโภคได้เร็วขึ้นนอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายลดลง
ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 53.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 367.57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.52 ล้านบาท
บริษัทได้ปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายทั้งปี 59 ใหม่ เป็น 3,680 ล้านบาท จาก 3,210 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.64% หลังจากปรับนโยบายการลดต้นทุนสินค้า, บริหารสินค้าคงคลังการทำประมาณการยอดขาย และพัฒนาสินค้าที่ขายต่อเนื่องให้ดีขึ้น
ที่สำคัญปรับปรุงทีมส่งของพร้อมกับเก็บเงินสดถึงบ้านรวดเร็วจัดส่งสินค้าให้ได้ภายในระยะเวลา 3-5 วัน ทั้งประเทศ จึงส่งผลทำให้การบริหารค่าใช้จ่ายทั้งกลุ่มบริษัทในเครือมีประสิทธิภาพ และยังเพิ่มปริมาณเงินสดได้กว่า 100 ล้านบาท รวมถึงช่องทางขายผ่านออนไลน์ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อันดับ 4 บริษัท โรงพยาบาลไทยนครินทร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TNH ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 115.85% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 20.50 บาท บวก 23.75 บาท มาอยู่ที่ 44.25 บาท ณ วันที่ 29 ก.ค.59 ราคาหุ้นปรับตัวแรง คาดเป็นการเก็งกำไรทางเทคนิค ประกอบกับหุ้นรายนี้พื้นฐานที่แข็งแกร่ง เนื่องจากบริษัทมีกำไรต่อเนื่อง อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบตลาดฯ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ก็ยังแนะให้ลงทุนหุ้นโรงพยาบาลทำให้หุ้นรายนี้ปรับตัวขึ้นแรงตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ ให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มการแพทย์มากกว่าตลาด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตในระยะยาวและมีความเสี่ยงขาลงน้อยกว่ากลุ่มอื่นในช่วงเศรษฐกิจขาลง
โดยคาดว่ากลุ่มการแพทย์ไทยจะมีกำไรเติบโตดีกว่าคู่แข่งในภูมิภาคอื่นเนื่องจากได้รับผลบวกจากการเติบโตที่แข็งแกร่งทั้งผู้ป่วยในประเทศและผู้ป่วยจากต่างประเทศ แม้ว่าโรงพยาบาลเอกชนจะมีการขยายโรงพยาบาลเชิงรุกในอีก 5 ปีข้างหน้าแต่จำนวนเตียงโดยรวมทั้งประเทศ (รวมโรงพยาบาลรัฐ) ก็เติบโตไม่มากนัก คาดความต้องการยังมากว่าอุปทานและจะส่งผลบวกต่อกำไรของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล
อนึ่ง แม้หุ้นดังกล่าวให้ผลตอบแทนสูง เนื่องจากได้สะท้อนพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และศักยภาพการวางแผนธุรกิจของผู้บริหาร ทำให้นักลงทุนมั่นใจและสนใจเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก แต่นั่นอย่าลืมว่าหุ้นบางตัวได้ปรับตัวสูงมากเกินไป ดังนั้นการเข้าลงทุนหุ้นดังกล่าวก็อาจจะเสี่ยงต่อแรงขายทำกำไร นักลงทุนควรหาจังหวะเข้าลงทุนให้ดี
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน