อัฐยาย ซื้อขนมยายแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น

การซื้อขายกิจการของบริษัทในเครือข่ายเดียวกัน ระหว่างบริษัทแม่คือ  บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS กับบริษัทลูกคือ บริษัท วี จี ไอโกลบอลมีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ VGI เข้าข่ายเอื้ออาทรกันอย่างแท้จริง เพราะวิน-วินทั้งคู่

เป็นไปตามสูตรโบราณของไทย “เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหนเสีย”

ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็ล้วนเป็นเงินในกระเป๋าของเจ้าสัว คีรี กาญจนพาสน์ ทุกกระเป๋า …ไม่ได้หนีหายไปไหนเลย

เมื่อวานนี้ VGI ประกาศว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการเข้าซื้อหุ้น 90% ในบริษัทบางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด หรือ BSS และ 90% ในบริษัท บีเอสเอส โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือ BSSH โดยการเข้าลงทุนใน BSS และ BSSH จะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,956 ล้านบาท

ทั้งสองบริษัทดังกล่าวมีสินค้าหลักทางด้านไมโครเพย์เมนท์ ผ่านบัตรจ่ายเงินซื้อสินค้าที่เรียกว่า Rabbit ในเครือของ BTS มาก่อน

VGI ระบุว่า การเข้าลงทุนในครั้งนี้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของ VGI ที่ปฏิวัติรูปแบบการขายสื่อโฆษณาแบบเดิมๆ คือการให้เช่าพื้นที่สื่อ มาเป็นการเข้าสู่ 3 ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกัน 3 ด้านพร้อมกัน

–                  ธุรกิจเงินอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งให้บริการบัตรแรบบิท เครื่องมือในการชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า BTS และเครือข่ายร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ

–                  ธุรกิจ e-wallet ผ่านการให้บริการ Rabbit LINE Pay ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่อยู่ใน LINE แอพพลิเคชั่น ที่ใช้สำหรับการส่งข้อความที่มีความนิยมสูงสุดและมีผู้ใช้ประจำกว่า 33 ล้านรายในประเทศไทย

–                   ธุรกิจออนไลน์อื่นๆ ผ่านแรบบิท อินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นเจ้าของเว็บไซต์คอนเทนต์แรบบิท เดลี่ (Rabbit Daily) และเป็นผู้ให้บริการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ทางการเงินออนไลน์ชั้นนำภายใต้ชื่อ แรบบิท ไฟแนนซ์ (Rabbit Finance) ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจาก ASK Hanuman เดิม

นอกจากนั้น ยังสามารถต่อยอดธุรกิจทางด้านฐานข้อมูล โดยสามารถวิเคราะห์คลังข้อมูลของธุรกิจ Rabbit ที่ปัจจุบันมีมากกว่า 7.2 ล้านคน เพื่อผลิตและวางแผนสื่อโฆษณาได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพเอื้อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อลูกค้าของ VGI ภายใต้เครือข่ายสื่อโฆษณาของ VGI ที่มีอยู่ครอบคลุมทั่วประเทศ เพราะสามารถต่อจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญช่วยผลักดัน VGI ก้าวสู่การเป็น Data-Centric Media Hypermarket ที่สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ช่วยวางแผนการผลิตนวัตกรรมสื่อโฆษณาในรูปแบบใหม่ๆ และวางแผนใช้สื่อโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำมีประสิทธิภาพ

ที่น่าสนใจก็คือ การซื้อกิจการดังกล่าว ทำให้ BTS มีรายได้พิเศษจากการขายกิจการในเฉพาะหน้า ซึ่งจะบันทึกในไตรมาสที่ 3 โดยมีกำรพิเศษเพิ่มเติม ในยามที่กำไรจากการดำเนินงานของ BTS เริ่มทรงตัว แต่กำไรของ VGI เริ่มโดดเด่นขึ้นมา เพราะล่าสุดมีกำไรไตรมาสสองปีนี้เพิ่มขึ้นมากถึง 30.60% เพียงแต่…กำไรปกติลดลง แต่กำไรพิเศษมากขึ้น 

นอกจากนั้น ในระยะยาว  BTS จะมีรายได้และกำไรเพิ่มเติมจากการปล่อยกู้ให้กับ VGI ในการซื้อกิจการดังกล่าว วงเงิน 2 พนัล้านบาท โดยคิดดอกเบี้ยเงินกู้อย่างเอื้ออาทร ในอัตรา MLR เฉลี่ยของ 5 ธนาคารพาณิชย์ใหญ่ โดย VGI จะชำระเงินกู้ไม่เกิน 5 ปี โดยใช้วิธีผ่อนชำระรายปี ในอัตรา 10% ของเงินต้นในช่วง 4 ปีแรก และที่เหลือชำระหมดในปีที่ 5

งานนี้ VGI ไม่ต้องใช้เงินสดในมือมาซื้อกิจการของแม่ แต่ยืมเงินแม่มาซื้อออกจากมือ โดยเสียต้นทุนแค่ค่าดอกเบี้ยเท่านั้น…ถูกแสนถูก

ไม่ใช่เครือข่ายเดียวกัน ทำไม่ได้เด็ดขาด

หากเชื่อในการประเมินเชิงบวก จะพบว่า VGI จะโตทางลัดแบบก้าวกระโดดในทันทีเพราะ สามารถขยายฐานฐานจำนวนผู้รับสื่อโฆษณาเพิ่มเป็น 25 ล้านคนต่อวัน และเพิ่มศักยภาพกำลังการผลิตสื่อโฆษณาจาก 3,900 ล้านบาทเป็น 7,300 ล้านบาท ภายในปีเดียว…คุ้มยิ่งกว่าต้นทุนค่าดอกเบี้ยหลายสิบเท่า        

วิธีการเร่งเติบโตด้วยการเป่าลมแรงให้กับ VGI นี้ กำลังทำให้บริษัทที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านผู้บริหารจากคนเดิมนายมารุต อรรถไกวัลวที รองประธานกรรมการ และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เป็นนายสุรเชษฐ์ บำรุงสุข ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม และยังไม่เข้าที่เข้าทาง แถมการลงทุนใหม่อย่าง บริษัท Multi Sign ผู้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารสื่อกลางแจ้งทั่วประเทศจำนวน 862 ป้าย ก็ยังต้องรอผลตอบแทนรูปธรรมเสียก่อน…ไม่ต้องรอนาน

ท้ายสุด ผลประโยชน์จากการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ VGI จะเป็นผลดีกับ BTS นั่นเอง เพราะใครก็ย่อมรู้ดีว่า BTS ถือหุ้นใน VGI มากถึง 21.30% ดังนั้น การเติบโตของกำไร VGI ที่จะแปลงสภาพเป็น Data-Centric Media Hypermarket สมบูรณ์แบบ ก็จะย้อนกลับมาที่แม่อย่าง BTS อีกระลอก

เจ้าสัวคีรี มีของเล่นใหม่ให้รวยเพิ่มขึ้นอีกหลายกระบุง…อีกแล้วค่ะท่าน