พาราสาวะถี อรชุน
พรรคทหารหรือทหารอยากตั้งพรรคเอาใจผู้มีอำนาจ คำถามนี้มีคำตอบที่แตกต่างกัน เพราะหากพรรคทหารเกิดขึ้นจริง นั่นหมายความว่า ผู้มีอำนาจในปัจจุบันต้องการจะใช้เป็นบันไดไปสู่การสืบทอดอำนาจ โดยอาศัยกลไกจากร่างรัฐธรรมนูญที่ตัวเองตั้งขึ้น ผนวกเข้ากับ 250 เสียงของส.ว.ลากตั้ง สามารถทำให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้สบายๆ อีกหนึ่งสมัย
พรรคทหารหรือทหารอยากตั้งพรรคเอาใจผู้มีอำนาจ คำถามนี้มีคำตอบที่แตกต่างกัน เพราะหากพรรคทหารเกิดขึ้นจริง นั่นหมายความว่า ผู้มีอำนาจในปัจจุบันต้องการจะใช้เป็นบันไดไปสู่การสืบทอดอำนาจ โดยอาศัยกลไกจากร่างรัฐธรรมนูญที่ตัวเองตั้งขึ้น ผนวกเข้ากับ 250 เสียงของส.ว.ลากตั้ง สามารถทำให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้สบายๆ อีกหนึ่งสมัย
แต่หากเป็นพรรคที่ทหารอยากตั้งเอาใจเพื่อนหรือเอาใจนายนั่นจะเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากเข้าข่ายนายไม่ได้ว่าแต่ขี้ข้าพลอยหรือสอพลอเอาเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อฟังจากคำพูดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังการประชุมครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เรื่องการปฏิรูปพรรคการเมืองให้ปลอดนายทุน ดูเหมือนว่าจะเข้าทางกลุ่มเพื่อนประยุทธ์ที่ไปคุยเรื่องตั้งพรรคกับ สมพงษ์ สระกวี สมาชิกสปท.อย่างเหมาะเจาะลงตัว
ไม่เพียงเท่านั้น เสรี สุวรรณภานนท์ ก็ให้สัมภาษณ์ในวันเดียวกันกับที่บิ๊กตู่พูดถึงเรื่องพรรคปลอดนายทุน มันไม่น่าจะใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอน เมื่อมองไปยังเงื่อนเวลาน่าจะมีความสอดคล้องต้องกัน ต้องไม่ลืมว่า บรรดาสปท.ทั้งหลายแหล่นั้นจะมีอายุสั้นกว่าสนช. หากไม่รอได้เป็นส.ว.ลากตั้ง การที่จะเปิดโอกาสหรือสร้างหนทางให้ตัวเองกลับมามีอำนาจหลังเลือกตั้งอีกวิธีการหนึ่งก็คือ การตั้งพรรคการเมืองนั่นเอง
เมื่อพิจารณาจากทัศนคติของบิ๊กตู่ที่มีต่อนักการเมืองและพรรคการเมืองแล้ว ประเภทจะใช้บริการสำเร็จรูปคือ เลือกเอาพรรคที่มีอยู่หรือนักการเมืองที่เก๋าเกมมาเป็นหลังพิงให้แล้ว ในบริบทคนจริงที่ด่านักการเมืองอยู่เป็นประจำ ตามวิถีการตั้งพรรคที่มีคนรู้ใจของตัวเองร่วมก่อตั้งและบริหาร น่าจะเป็นทางเลือกที่สง่างามและดูได้น้ำได้เนื้อมากกว่า
ส่วนการใช้บริการของ ไพบูลย์ นิติตะวัน ที่ส่งเทียบเชิญเข้าร่วมพรรคประชาชนปฏิรูป ด้วยการชูนโยบายผลักดันให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ นั้น ประสาคนที่อ่านเกมการเมืองออกและมองความอยากของบรรดาผู้อยากมีอำนาจขาด บิ๊กตู่คงไม่หลงคารมไปเออออห่อหมกด้วย ว่ากันว่า กรณีของ “คุณชายหมู” หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่ถูกมาตรา 44 ให้พักงาน ก็เป็นพฤติกรรมที่ทำให้หัวหน้าคสช.เอือมระอา
อย่างที่รู้กันความจริงสตง.เคยชงให้ผู้มีอำนาจฟันผู้ว่าฯ กทม.ตั้งแต่คราวเสนอรายชื่อข้าราชการที่ถูกกล่าวหาพัวกันการทุจริตประพฤติมิชอบในรอบที่ 4 มาแล้ว แต่บิ๊กตู่ก็ใจแข็งไม่ฟันฉับตามข้อเสนอแต่อย่างใด นั่นอาจเป็นเพราะการไปตกปากรับคำของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ไว้ก่อนหน้า คงไม่ต้องปิดบังอะไรกัน เนื่องจากทั้งสองคนมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตั้งแต่ก่อนรัฐประหารและหลังยึดอำนาจนั่นเอง
แต่ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้บิ๊กตู่ต้องตัดสินใจเชือดนั่นเป็นเพราะ ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานที่กทม.กำลังจมน้ำ (รอระบาย) คุณชายหมูกลับไม่อยู่ดูแลแก้ปัญหา เวลาที่ท่านผู้นำยกหูหาเพื่อปรึกษาขอคำอธิบาย เพื่อไว้ใช้เป็นคำตอบให้นักข่าวเวลาถูกถาม กลับพบว่าผู้ว่าฯ เมืองหลวงไปดูงานที่เกาหลีใต้เสียนี่ นั่นจึงทำให้คนโมโหง่ายอย่างหัวหน้าคสช.ต้องงัดมาตรายาวิเศษมาเล่นงานทันที
จะว่าไปแล้วคำสั่งดังกล่าวก็ยังมีความปราณีอยู่ เพราะแม้จะพักงานเบอร์หนึ่ง แต่ก็ยังเปิดโอกาสให้เบอร์สองหรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณชายหมูสามารถนั่งรักษาการสั่งการในเรื่องต่างๆ ได้อยู่ ด้วยเหตุนี้จึงเข้าทำนอง แค่เสียหน้าแต่ไม่ได้เสียการบังคับบัญชา เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่เทพเทือกจะต้องเคืองกับผู้ยิ่งใหญ่ รวมไปถึงคุณชายก็ยังมีความรู้สึกที่ดีต่อกันเหมือนเดิม
ทำเอาหลายคนตกอกตกใจเมื่อจู่ๆ ก็มีข่าว มีชัย ฤชุพันธุ์ ทำหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญเอกสารเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขให้สอดคล้องกับคำถามพ่วงในการทำประชามติคืน หลังจากที่เร่งดำเนินการและส่งไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา พอทราบเหตุผลแล้ว ใครที่แอบลุ้นว่าจะมีการปรับแก้เพื่อให้ส.ว.มีสิทธิ์เสนอชื่อนายกฯ หรือเปล่า เป็นอันว่ารอเก้อ
ที่ต้องไปรับเอกสารคืน เนื่องจากกรธ.นำส่งหนังสือในรูปแบบหนังสือราชการ แต่ศาลรัฐธรรมนูญต้องการให้นำส่งแบบหนังสือคำร้อง จึงต้องปรับแก้ถ้อยคำรายละเอียดให้ถูกต้อง รวมทั้งในการนำส่งหนังสือเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ก็เป็นการนำส่งเกินเวลาราชการ เป็นอันว่าไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้น ทุกอย่างเป็นเรื่องทางธุรกรรมล้วนๆ
ส่วนรายนี้หากยังเลือกที่จะเดินด้วยแนวทางอย่างที่เป็นอยู่ก็จำต้องคอยแก้ตัวเป็นพัลวันอยู่เป็นประจำเช่นกัน วันชัย สอนศิริ หลังจากที่ออกมาพูดถึงกรธ.และสนช.ให้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชน จนมีเสียงแดกดันว่า พวกที่ไม่เคยผ่านการเลือกตั้ง พอเห็นคะแนนเสียงเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ 16 ล้านเสียง เลยนึกว่าเป็นเสียงของประชาชนที่สนับสนุนตัวเองและพวกพ้องที่ได้ดิบได้ดีจากการลากตั้ง
ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว เจตนารมณ์ของผู้เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญนั้น ไม่มีใครบอกได้ว่า รับเพราะอะไร เนื่องจากมีความคิดที่หลากหลาย ผิดกับฝ่ายไม่เห็นชอบที่แม้จะมีทัศนคติที่ต่างกัน แต่คำตอบของการไม่รับเป็นไปในทิศทางเดียวกันอันได้แก่ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังมีข้อบกพร่องหลายประการ นั่นจึงทำให้อาการเห่อเสียงประชาชนหดหายไป
แต่ล่าสุดกับการที่เสนอแนวคิดเปรมโมเดล เพื่อต้องการให้บิ๊กตู่เดินตาม ซึ่งก็หนีไม่พ้นถูกถล่มหนักจากหลายฝ่าย จนล่าสุดเจ้าตัวต้องออกมาแก้ต่างเสียงอ่อยๆ ที่พูดไม่ได้มีเจตนาจะให้พลเอกประยุทธ์เดินตามทางของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ หากแต่อยากให้คนที่จะมาเป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือนายกฯ คนนอก ต้องเป็นผู้ประนอมดุลอำนาจระหว่างฝ่ายเลือกตั้งกับฝ่ายกองทัพให้ลงตัว ในลักษณะเดียวกับที่ป๋าเคยทำ
ไปกันได้น้ำขุ่นๆ เพราะมันจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อร่างรัฐธรรมนูญมีชัย ได้จับกระบวนการต่างๆ ของรัฐบาลหลังการเลือกตั้งให้ตกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของส.ว.ลากตั้งทั้ง 250 คนไปแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นยังว่ากันว่านี่เป็นการรัฐประหารโดยกฎหมายสูงสุดของประเทศ แล้วจะต้องให้ไปถ่วงดุลอำนาจระหว่างสองฝ่ายได้อย่างไร
น่าเสียดาย นักกฎหมายที่เคยได้ชื่อว่าเป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชนทั่วไป พอปล่อยให้อคติหรือความเกลียดชังเข้ามาบังตา มิหนำซ้ำ ยังได้รับอานิสงส์จากการลากตั้งให้มีตำแหน่งแห่งหนบนเส้นทางอำนาจสายนิติบัญญัติ แต่กลับไม่ได้ใช้โอกาสอันดีนั้นสร้างคุณูปการให้กับบ้านเมืองแม้แต่น้อย ทุกกระบวนท่าที่แสดงออกมาล้วนแล้วแต่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวทั้งสิ้น ดังนั้น สิ่งที่บิ๊กตู่บอกว่าเวลานี้มีการวิ่งเต้นเพื่อขอเก้าอี้สนช.กันอยู่ จึงเชื่อได้ว่าเป็นความจริงและทางที่ดีท่านผู้นำควรจะเปิดรายชื่อประจานให้สังคมรับรู้ด้วย จะได้ช่วยกันประณามพวกที่อยากได้ตำแหน่งโดยไม่ลงทุนพวกนี้เสียให้เข็ด