TTA คาดผลประกอบการปี 60 พลิกมีกำไร หลังค่าระวางเรือฟื้นตัวช่วง 2H59
TTA คาดผลประกอบการปี 60 พลิกมีกำไร หลังค่าระวางเรือฟื้นตัวช่วง 2H59 คาดมีความชัดเจนในการเข้าซื้อกิจการใหม่ ในปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า
นายวิทวัส เวชชบุษกร ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบริหารการลงทุน บริษัทโทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในปี 60 จะพลิกกลับมามีกำไร หลังจากเริ่มเห็นสัญญาณค่าระวางเรือฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากความต้องการใช้เรือบรรทุกสินค้าเพิ่มขึ้นและปริมาณกองเรือในอุตสาหกรรมเริ่มลดลง เนื่องจากผู้ประกอบการบางรายขาดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ ทำให้ปริมาณการสั่งต่อเรือลดลง โดยคาดว่าอัตราค่าระวางเรือจะปีหน้าจะมากกว่า 7,500 เหรียญสหรัฐ/ลำ/วัน สูงกว่าจุดคุ้มทุนของบริษัทที่ 7,000 เหรียญสหรัฐ/ลำ/วัน
ทั้งนี้ ภาพรวมของแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของบริษัทคาดว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะมีกำไรหรือขาดทุน แม้ว่าธุรกิจเดินเรือเริ่มมีทิศทางที่ฟื้นตัวขึ้นแล้ว หลังจากที่อัตราค่าระวางเรือขึ้นมาที่ 7,500 เหรียญสหรัฐ/ลำ/วัน จากครึ่งปีแรกอยู่ที่ราว 5,000 เหรียญสหรัฐ/ลำ/วัน เนื่องจากความต้องการใช้เรือขนส่งเพิ่มขึ้น จากปริมาณการนำเข้าถ่านหินในจีนมีจำนวนสูงขึ้น และเป็นช่วงฤดูฝนทำให้เกษตรกรมีการใช้การขนส่งสินค้าทางการเกษตรมากขึ้น ซึ่งบริษัทประเมินอัตราค่าระวางเรือในครึ่งปีหลังจะอยู่เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 7,000 เหรียญสหรัฐ/ลำ/วัน
ขณะที่ธุรกิจวิศกรรมใต้น้ำที่ดำเนินงานโดย บริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด และ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายปุ๋ยเคมี ในประเทศเวียดนามที่ดำเนินงานโดย บริษัทพีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PMTA ยังสร้างผลการดำเนินงานที่ดีให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีธุรกิจที่ยังกดดันผลประกอบการ คือ ธุรกิจจัดจำหน่ายถ่ายหินและให้บริการโลจิสติกส์ขนส่งภายใต้ บริษัทยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) หรือ UMS ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยมองหาโอกาสในการลงทุนในธุรกิจประเภทอื่น เช่น พลังงานและพลังงานทดแทน เป็นต้น แต่ยังไม่สามารถระบุความชัดเจนได้ในขณะนี้
สำหรับธุรกิจวิศวกรรมใต้น้ำแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง แต่แนวโน้มปริมาณงานที่เข้ามาก็ยังมีต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีงานในมือ (backlog) มูลค่า 240 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะรับรู้ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ 120 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังได้รับการต่อสัญญาว่าเรือขุดเจาะแบบสามขา จำนวน 2 ลำ เพิ่มอีก 3 ปี แต่มูลค่าสัญญาใหม่อาจจะลดลงเล็กน้อย ตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลง
นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าจะมีความชัดเจนในการเข้าซื้อกิจการใหม่ (M&A) เข้ามาภายในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า โดยเป็นหนึ่งในธุรกิจที่บริษัทสนใจในกลุ่มพลังงาน ขนส่ง สาธารณูปโภค สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม เพื่อต่อยอดการเติบโตในอนาคต ปัจจุบันมีการเจรจากับธุรกิจที่สนใจเข้าซื้อทั้งในและต่างประเทศ
ขณะที่แหล่งเงินทุนที่จะมาจากกระแสเงินสดในมือที่มีอยู่ 1.2 หมื่นล้านบาท และเงินกู้ยืมจากสถาบันทางการเงิน ซึ่งบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.76 เท่ายังมีความสามารถสูงในการกู้ยืมเงินอีกมาก