แพนิค!โมนิก้าและทีมงาน
*หุ้นร่วงลงหนักคราวนี้ทำให้ “โมนิก้า” ได้มีเวลาครุ่นคิดบางเรื่องมากเป็นพิเศษ และยังทำให้รู้ว่า สิ่งที่อยู่เหนือการคาดเดา มีสิทธิ์ออกมาเป็นทั้งด้านบวกและด้านลบ จึงไม่ควรไปถามหาบางเรื่องที่ไม่มีคำตอบ และควรเอาเวลาที่มีอยู่ทั้งหมดไปวางแผนการลงทุนในอนาคตดีกว่า เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบวานนี้ ในอนาคตก็คงเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน..เชื่อน้องโมเถอะค่ะ
*หุ้นร่วงลงหนักคราวนี้ทำให้ “โมนิก้า” ได้มีเวลาครุ่นคิดบางเรื่องมากเป็นพิเศษ และยังทำให้รู้ว่า สิ่งที่อยู่เหนือการคาดเดา มีสิทธิ์ออกมาเป็นทั้งด้านบวกและด้านลบ จึงไม่ควรไปถามหาบางเรื่องที่ไม่มีคำตอบ และควรเอาเวลาที่มีอยู่ทั้งหมดไปวางแผนการลงทุนในอนาคตดีกว่า เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบวานนี้ ในอนาคตก็คงเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน..เชื่อน้องโมเถอะค่ะ
*ฉะนั้นการที่ดัชนีร่วงลงไปถึง 44 จุดตั้งแต่เปิดการซื้อขาย ก่อนจะเด้งกลับขึ้นมาปิดที่ 1,492.52 จุด ลบไป 28.96 จุด ด้วยมูลค่า 8.38 หมื่นล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของอารมณ์ในการลงทุนล้วนๆ ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานสักเท่าไหร่ และดูเหมือนอาการตื่นตกใจในคราวนี้ มันไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่ทุกคนเคยพบเจอสักเท่าไหร่ วันนี้ถึงต้องโฟกัสเรื่องดังกล่าวว่าเป็น “โอกาส” หรือ “อุปสรรค” ล่ะค่ะ
*หากมองเป็นโอกาสทุบหุ้นเอาของถูก ก็ควรหัดเรียนรู้พฤติกรรมจากกองทุนตัวแสบ ซึ่งเป็นพวกนกรู้ที่ชอบขายก่อนถามทีหลังเป็นประจำ หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมช้อนหุ้นเข้าพอร์ตมือเป็นระวิง ก็ควรหัดดูจากบรรดาแมงเม่าขาประจำ เขาถนัดเข้าทำรวดเร็วกันขนาดไหน เพราะโลกของการลงทุนไม่มีอะไรแน่นอนตายตัว จึงควรทำตัวเป็นสนลู่ลม เพื่อให้ตัวเองยืนระยะได้อย่างมั่นคงพะยะค่ะ
*ที่สำคัญก็คือ ขนาดตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังออกตัวได้อย่างยอดเยี่ยมว่า ไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้ดัชนีรูดลงหนัก! แต่เมื่อดูจากดัชนีเด้งกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องกังวลอีกต่อไปแบบนี้ “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องที่สวยงามตามท้องเรื่อง และควรจะถึงเวลาที่ทุกคนช่วยกันซื้อหุ้นสักที เพราะสถานการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น เดี๋ยวก็ผ่านไปเองแหละค่ะ
*เหมือนกับหุ้นกลุ่มแบงก์ที่ลงแรง 2 วันติดๆ “โมนิก้า” มองในมุมไหน ด้านไหน ก็เป็นฝีมือของพวกนักเล่นกลุ่มสถาบัน และสิ่งที่คิดไว้ก็เป็นจริงดังว่า กองทุนตัวแสบทิ้งหุ้น 2.37 พันล้านบาท ส่วนปอบผีฟ้าก็สาดหุ้นออกมา 770 ล้านบาท ขณะที่ฝรั่งตาน้ำข้าวเก็บหุ้น 2.50 พันล้านบาท และพลพรรคแมงเม่าก็สอยหุ้นเข้าพอร์ต 650 ล้านบาท มันเป็นเกมที่รู้กันอยู่ แต่สิ่งที่ต้องคิดต่อคือ วานนี้ดัชนีลงไปแตะเส้นแนวรับ 75 วันตรงบริเวณ 1,475 จุด แล้วเด้งกลับขึ้นมาทันที มันตีความได้ว่า นี่คือจุดรับของหรือเปล่าค่ะ
*เหมือนกับกรณีของ BDMS ยืนตระหง่านท้าทายแรงเทขายตลอดทั้งวัน ก่อนจะลงเอยที่ระดับ 22.70 บาท บวกไป 0.10 บาท ด้วยมูลค่า 1,280 ล้านบาท ถือเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นว่า หุ้นโรงพยาบาลตัวนี้ยังเป็นทีเด็ดสำหรับการลงทุนในอนาคต “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับลองหันไปดูยอดเดิม 23.50 บาท ยังเป็นจังหวะของการเข้าทำคะแนนหรือเปล่า?..ลองไปคิดดูนะคะ
*เช่นเดียวกับในรายของ TSE วานนี้กระชากขึ้นมาปิดที่ 4.98 บาท บวกไป 0.18 บาท หรือขึ้นไป 3.75% ด้วยมูลค่า 270 ล้านบาท แถมเป็นการลงมาแตะเส้นแนวรับ 25 วัน ตรงบริเวณ 4.74 บาท แล้วเด้งขึ้นอย่างร้อนแรง “โมนิก้า” ถือเป็นอีกหนึ่งกรณีตัวอย่างที่ขาประจำไม่ควรพลาด หลังพวกพรายกระซิบเม้าท์ให้ฟังว่า โปรเจ็กต์ในอนาคตเริ่ดหรูอลังการงานสร้างสุดๆ…งานนี้หากเจ้าภาพให้โอกาสไปเยี่ยมชมกิจการดังกล่าวเมื่อไหร่ แล้วจะมาเล่าให้ฟังพะยะค่ะ
*ส่วนในรายของ PIMO ก็เป็นอีกหนึ่งช็อตเด็ดที่ “โมนิก้า” อยากให้ทุกคนหันมามอง เพราะหุ้นกำลังเข้าสู่บททดสอบที่สำคัญ หลังหุ้นกระชากขึ้นมาปิดที่ 2.40 บาท บวกไป 0.24 บาท หรือขึ้นไป 11% ด้วยมูลค่า 190 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขึ้นมาปิดตรงยอดเดิมแบบพอเหมาะพอเจาะ หากวันนี้วอลุ่มหนุนเข้ามาต่อเนื่อง ได้เห็นหุ้นทำยอดใหม่แน่นอน..หากไม่เป็นเหมือนที่คิด ก็ตัวใครตัวมันนะคะ
*ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องคิดเลยเถิดมาถึงหุ้น DAII ซึ่งถูกกลุ่มสิงห์เข้าเทกโอเวอร์อย่างเป็นทางการ มันเป็นเกมที่รายย่อยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะการเพิ่มทุน PP ในราคาหุ้นละ 5 บาท เพื่อทำการแลกกับที่ดินของ S มันเหมือนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับหุ้น RASA ซึ่งกลุ่มสิงห์เข้าไปเทกโอเวอร์พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น “S” ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปถึง 12 บาท แต่หลังจากนั้นราคาหุ้นก็โรยตัวลงมาเรื่อย จนลงมายืนอยู่ที่ 5.15 บาท ซึ่งเป็นการเทรดบนค่า P/E 1,300 เท่า ขณะที่ตัวหุ้นไดอิ ปิดตลาดที่ราคา 5.80 บาท บวกไป 0.45 บาท หรือขึ้นไป 8.40% ด้วยมูลค่า 490 ล้านบาท มันจะซ้ำรอยเหมือนในอดีตไหม? เดี๋ยวรู้กันเจ้าค่ะ
*ตบท้ายกันที่น้องใหม่ ITEL ซึ่งเป็นหุ้นน้องใหม่ไฟแรง ตามแบบฉบับผู้บริหารหนุ่มนักคิดอย่างคุณน้อง “ณัฐนัย” เตรียมจะเปิดให้จองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 7-9 ก.ย.59 อย่างเป็นทางการ แต่ไฮไลต์ของหุ้นที่จะเข้าตลาด mai ช่วงกลางเดือนนี้อยู่ที่พาร์ 1 ซึ่งทำให้ทุกคนได้รู้ว่า การกำหนดราคาพาร์ขั้นต่ำ 0.50 บาทตามความต้องการของ ก.ล.ต. และ ตลท. ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับการกระจายหุ้น เพราะหุ้นตัวนี้ตั้งราคาพาร์สูงกว่าเท่าตัว พร้อมกับกระตุ้นต่อมสำนึกเกี่ยวกับปรัชญาในการทำงานที่ควรเน้นเรื่องเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงแหล่งทุนได้โดยง่าย ซึ่งทำให้การตั้งราคาพาร์ 0.10, 0.25, 0.50 บาท ไม่ใช่สาระสำคัญเหมือนกับสิ่งที่ทางการกำลังคิดอยู่…ตัวเองรู้ไหม?