BCP หันนำเข้าน้ำมันดิบจากตปท.เพิ่มเป็น 60% หลังแหล่งผลิตในปท.ลดการผลิตลง
BCP หันนำเข้าน้ำมันดิบจากตปท.เพิ่มเป็น 60% จากเดิม 50% หลังแหล่งผลิตในปท.ลดการผลิตลง เดินหน้าพัฒนาแร่ลิเทียมในอาร์เจนตินา หวังรองรับความต้องการตลาดโลก
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทนำเข้าน้ำมันดิบเพื่อมาใช้กลั่นน้ำมันสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 60% จากเดิมที่ 50% หลังราคาน้ำมันที่ลดลงทำให้แหล่งผลิตในประเทศลดการผลิตลง จากเดิมที่บริษัทจะใช้น้ำมันดิบจากแหล่งในประเทศและต่างประเทศอย่างละครึ่งเพื่อใช้ในการกลั่นน้ำมัน
โดยราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในภาวะผันผวน และเคลื่อนไหวที่ระดับกว่า 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลขณะนี้นับว่าเป็นระดับราคาที่ยังไม่ดีนัก แต่หากจะให้อุตสาหกรรมอยู่รอดได้เห็นว่าราคาควรจะอยู่ที่ระดับ 55-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่บริษัทที่วิเคราะห์ด้านพลังงานจากต่างชาติรายหนึ่งประเมินว่าการขุดเจาะแหล่งปิโตรเลียมใหม่ขณะนี้นับว่าเป็นระดับต่ำสุดรอบ 60 ปี ซึ่งหากภาวการณ์ยังคงเป็นลักษณะเดิมต่อเนื่อง 2-3 ปี ก็จะทำให้ระบบการผลิตน้ำมันมีปัญหาได้
อย่างไรก็ตาม ในส่วนธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ที่บริษัทถือสัดส่วนอยู่ 55% ในแหล่งน้ำมันดิบ Galoc ที่ฟิลิปปินส์นั้น ปัจจุบันมีการผลิตน้ำมันดิบราว 5 พันบาร์เรล/วัน โดยมีต้นทุนประมาณ 28-29 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ยังมองหาโอกาสการลงทุนธุรกิจ E&P เพิ่มเติม หลังราคาสินทรัพย์มีราคาต่ำลงตามระดับราคาน้ำมันที่ลดลง
ส่วนการลงทุนในเหมืองลิเทียมที่บริษัทได้เข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 7% นั้น คาดว่าจะเริ่มพัฒนาแร่ลิเทียมจากเหมืองอาร์เจนตินาได้ในราวเดือนมี.ค.60 โดยช่วงแรกจะเป็นการเริ่มทยอยผลิตและผลิตยืนในระดับ 25,000 ตัน/ปีในช่วงปี 61 ก่อนจะเพิ่มเป็นระดับ 50,000 ตัน/ปีในปี 62 เพื่อรองรับความต้องการใช้แร่ลิเทียมที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก เนื่องจากแร่ลิเทียมสามารถนำไปผลิตเป็นแบตเตอรี่ในอุตสาหกรรมที่หลากหลายทั้งสมาร์ทโฟน ,พลังงานทดแทน ,รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีการเจรจากับลูกค้าในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้แล้ว
สำหรับการลงทุนปัจจุบันเป็นการถือหุ้น 7% ใน Western Lithium(WLC) ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ลิเทียม อเมริกา ซึ่งตามข้อตกลงบริษัทสามารถเข้าถือหุ้นได้เพิ่มเป็นไม่เกิน 20% โดยปัจจุบัน WLC มีเหมืองลิเทียมอยู่ในสหรัฐฯและอาร์เจนตินา