‘ขาใหญ่’ถือเงินสดลูบคมตลาดทุน
ข่าวว่า นักลงทุนรายใหญ่หลายคน ปรับพอร์ตไวมาก หันมาถือเงินสดกันก่อนหน้านี้แล้ว
ธนะชัย ณ นคร
ข่าวว่า นักลงทุนรายใหญ่หลายคน ปรับพอร์ตไวมาก หันมาถือเงินสดกันก่อนหน้านี้แล้ว
บางคนพอร์ตหุ้นเป็นพันล้านบาท ก็ถือเงินสดถึง 95%
และอีกหลายๆ คน ก็มีสัดส่วนไม่ต่างกันมากนัก
ส่วนนักลงทุนรายใหญ่ที่มีสัดส่วนการถือครองหุ้นใดหุ้นหนึ่งในระดับ 2 – 3% หรือบวก/ลบ จากนี้เล็กน้อย ก็จะปรับพอร์ตกันลำบากหน่อย
นั่นเพราะมูลค่าเป็นหลักร้อย หลักพันล้านบาท
ขยับลำบากครับ
ก็เลยต้องอยู่ในสภาวะ“ทำใจ”
ด้านนักวิเคราะห์จากหลายโบรกฯ ช่วงนี้ ก็แนะนำนักลงทุนที่เล่นสั้น ให้หันมาถือเงินสดกันมากขึ้น
ถือเงินสดเพื่อรอครับ ต้องรอ… สุ่มเสี่ยงไม่ได้
ถือไปจนกว่า พอจะมองเห็นช่องให้เข้าลงทุนได้ ก็ใส่กันเต็มที่ เช่น หากดัชนีหุ้นเริ่มดีดกลับบวกสัก 2 วันติดต่อกัน หรือสัญญาณทางเทคนิค ณ วันนั้น ดูแล้วกลับเข้ารูป เข้าร่าง
ก็เชิญเลือกซื้อกันได้ตามสะดวก
ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ตลาดหุ้น ณ เวลานี้ กองทุนคุมเกมไว้ได้หมด
หากเป็นภาษาฟุตบอลเขาเรียก “พับสนาม” ครับ
อย่างวานนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 3,424 ล้านบาท แต่ก็ต้านทานแรงขายของกองทุนไม่ไหว
เพราะวานนี้เทกระจาดไปอีกกว่า 3,290 บ้านบาท เช่นเดียวกับพอร์ตปอบผีฟ้า ที่จากเดิม เดินตามก้นฝรั่ง แต่ตอนนี้หันมาตามก้นกองทุน ด้วยการขายสุทธิต่อเนื่อง
และวานนี้ก็สาดออกมาอีก 2,062 ล้านบาท
ส่วนตัวนั้น มีโอกาสคุยกับผู้จัดการกองทุนที่สนิทๆ กัน
เขาก็ยอมรับความจริงที่ว่า ขายเพื่อทำกำไร และปัจจัยลบจากภายใน(ประเทศ) ที่ไม่สามารถเปิดเผยได้
ปัจจัยภายในเหมือนจะมีอิทธิพลมากกว่าเรื่องธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ที่มีจะการประชุมกันในวันที่ 20-21 ก.ย.นี้ ที่อาจขึ้นดอกเบี้ยนโยบายซะอีก
ไม่มีใครตอบได้ว่า กองทุนจะหยุดขายเมื่อไหร่
เพราะต้นทุนของกองทุนแต่ละกองทุนไม่เท่ากัน
หากกองทุนเห็นปัจจัยลบรออยู่ หรือกำลังคืบคลานเข้ามา และหุ้นในพอร์ตก็มีกำไรแล้ว ยังไงก็ต้องขาย
ตลาดหุ้นคือ Zero sum game ครับ เหมือนอย่างที่คุณวรวรรณ ธาราภูมิ บอกไว้
นัยของ Zero sum game คือ เมื่อมีผู้ขาย ก็ย่อมต้องมีผู้ซื้อ ไม่มีใครผิด และไม่มีใครถูก ใน Zero sum game
ในช่วงนี้บาง บลจ.เริ่มออก “ทริกเกอร์ฟันด์” แล้ว
เท่านั้นยังไม่พอ…
เพราะเริ่มเห็นเม็ดเงินไหลเข้ากองทุน LTF มากขึ้นแล้วเช่นกัน เนื่องจากมีคำแนะนำว่า เป็นจังหวะดีที่จะเข้าลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว
หากเป็นไปในรูปแบบนี้ ก็เท่ากับว่า เมื่อกองทุนได้เงินจากการลงทุนของนักลงทุน ก็จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นต่อ
ยิ่งช่วงดัชนีลงมาลึกๆ หุ้นพื้นฐานดีๆ หลายๆ ตัว ปรับลงมาก พี/อี หุ้นกลุ่มธนาคารลงมาต่ำ ราคาหุ้นมีอัพไซด์ ก็เป็นโอกาสในการทำกำไร เข้ามาไล่ซื้อ และ(อาจ)ช่วยดันดัชนีกลับขึ้นไปได้อีก
ยิ่งหากเป็นกองทุน LTF ก็ถือว่าคุ้ม
แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในที่ไม่สามารถเปิดเผยได้
และปัจจัยภายนอก จากเรื่องเฟดด้วย
ว่ากันว่า หุ้นร่วงลงมารอบนี้ถือเป็นกรณีศึกษาที่ดีสำหรับนักลงทุน
“รายย่อย” หลายคนที่เจ็บ ได้ประสบการณ์ ได้บทเรียนที่คุ้มค่า สำหรับการลงของดัชนีในรอบนี้อย่างมาก
และอาจรวมถึง “รายใหญ่” ด้วย