3 เซียนประสานเสียงเชียร์ซื้อ JMTลุ้นกำไร Q3 ฟื้นต่อเนื่อง-เป้าสูงปรี๊ด!

JMT อัพเป้ารายได้ปีนี้เป็นโต 50% หลังลุยซื้อหนี้มาบริหารเพิ่ม 3 เซียนประสานเสียงเชียร์ "ซื้อ" ลุ้นกำไร Q3/59 ฟื้นต่อเนื่อง พร้อมอัพเป้าใหม่สูงปรี๊ด!


JMT อัพเป้ารายได้ปีนี้เป็นโต 50% หลังลุยซื้อหนี้มาบริหารเพิ่ม 3 เซียนประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ” ลุ้นกำไร Q3/59 ฟื้นต่อเนื่อง พร้อมอัพเป้าใหม่สูงปรี๊ด!

นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ในปีนี้เป็นเติบโต 50% จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ที่เติบโต 15% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 720.33 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากปริมาณการซื้อหนี้เข้ามาบริหารจำนวนมากขึ้น และมีสถาบันการเงินใช้บริการธุรกิจรับจ้างติดตามหนี้ของบริษัทเพิ่มมากขึ้น หลังจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงชะลอตัวส่งผลให้ปัญหาหนี้เสียเพิ่มขึ้น ซึ่งในระบบธนาคารในปีนี้มองว่าหนี้เสียจะเพิ่มขึ้นเป็น 120 ล้านล้านบาทในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 100 ล้านล้านบาท

สำหรับการซื้อหนี้เสียเข้ามาเพิ่มครึ่งปีหลังนั้น บริษัทเตรียมที่จะซื้อหนี้เสียที่เป็นสินเชื่อบ้านจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะซื้อเข้ามาในช่วงไตรมาส 4/59 ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการขออนุมัติจากกระทรวงการคลัง

นอกจากนี้ บริษัทก็ยังมีการซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงินที่เป็นหนี้เสียในกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลเข้ามาเพิ่มเติม โดยบริษัทมั่นใจว่ามูลค่าการซื้อหนี้เข้ามาบริหารในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2 หมื่นล้านบาท

 

โดย นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ก.ย.) ให้ราคาเป้าหมาย JMT ที่ 19.30 บาท/หุ้น คาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วตั้งแต่ไตรมาส 1/59 และคาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 60 และ 61

ทั้งนี้คาดว่าสถานการณ์ของ JMT จะดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 3/59 และไตรมาส 4/59 โดยมีปัจจัยหนุนจากการตั้งสำรองหนี้สูญที่ลดลงเหมือนไตรมาส 2/59 และธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ มีรายได้ และ NPM เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนวิธีการรับรู้รายได้ IRR ตามจริง จาก 5 ปี เป็น10 ปี ทำให้การรับรู้รายได้สอดคล้องกับเงินสดที่เก็บได้มากขึ้น และไม่มีปัญหา NPL เหมือนการรับรู้รายได้แบบเดิมที่บริษัทจะต้องตั้งสำรองหนี้สูญหากเก็บเงินสดได้ต่ำกว่าประมาณการณ์ IRR ในแต่ละงวด 

โดยมองว่า JMT เป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิสูงโดยมี CAGR เฉลี่ยปี 59-61 ที่ 46% ประเมินมูลค่าเหมาะสมของ JMT  โดยใช้วิธี GGM อิง BVPS ที่ 4.8 บาท และคาดการณ์ ROE ในระยะยาวที่ 13% จะได้ราคาเหมาะสมปี 60 ที่ 19.30 บาท (เทียบเท่า PBV 2017 ที่ 4 เท่า PE ที่ 30 เท่า และ PEG ที่ 0.67)

 

ขณะเดียวกัน บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” JMT ราคาเป้าหมาย 20.60 บาท/หุ้น คาดกำไรไตรมาส 3/59 จะฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยคาดกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 3/59 ที่ 56 ล้านบาท เติบโต 58% จากไตรมาสก่อนและ 156% จากปีก่อน

โดยแรงหนุนสำคัญจะมาจากค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญจากลูกหนี้สินเชื่อของ JMT Plus ที่ลดลง หลังจากเริ่มเห็ โดยแรงหนุนหลักมาจากค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญจากลูกหนี้ของ JMT Plus ที่คาดว่าจะลดลง ซึ่งเป็นการลดลงตามแนวโน้มสัดส่วน NPL ทั้งนี้บริษัทกำลังจะขอมติผู้ถือหุ้นในการไม่ใช้สิทธิการเพิ่มทุนใน JMT Plus ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการลงทุนลดลงเหลือ 9.84% จากเดิมที่ถือ 100% ซึ่งจะทำให้บริษัทได้เงินที่ JMT Plus กู้ยืมคืนมาเป็นฐานในการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพต่อไป และอาจมีการกลับรายการรับรู้ขาดทุนจาก JMT Plus ในช่วงที่ผ่านมา หนุนกำไรในไตรมาส 4/59 ได้

โดยมีมุมมองเป็นบวกต่อการที่ JMT จะกลับมา Focus ในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำกำไร โดยแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 20.60 บาท

 

นอกจากนี้ บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” JMT ราคาเป้าหมาย 20 บาท/หุ้น มองกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2/59 เท่ากับ 35 ล้านบาท ตามคาด พลิกจากขาดทุนสุทธิ 15 ล้านบาทในงวดไตรมาส 1/59 เนื่องจากการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ สำหรับเงินให้สินเชื่อบุคคลตามที่ฝ่ายวิจัยได้นำเสนอข้อมูลในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากสินเชื่อที่ปล่อยไปในงวดไตรมาส 3/59 (ผ่าน บ.ย่อย เจ เอ็ม ที พลัสฯ ถือหุ้น 99.99%) แม้บริษัทยังมีภาระต้องกันสำรองหนี้ฯ เพิ่มขึ้นอีกในงวดนี้ แต่ก็ลดลงมากจากงวดไตรมาส 1/59 สอดคล้องกับ NPL ที่ลดลงเหลือ 7.47% จาก 8.06% ณ สิ้นงวด ไตรมาส 1/59 ส่วนธุรกิจหลักเห็นสัญญาณบวกเช่นกัน จากการเติบโตของรายได้ในทุกกลุ่มทั้งธุรกิจติดตามหนี้ การบริหารหนี้ และรายได้ดอกเบี้ยรับ สวนทางกับต้นทุนบริการ และค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลง 

ทั้งนี้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2559 ของ JMT ขึ้น 18.6% แต่ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2560 ลง 9.2% จากเดิม เพื่อสะท้อนการถอดสินเชื่อบุคคลออกไปจากประมาณการ ตามแนวโน้มการลดสัดส่วนการลงทุนใน บ.เจเอ็มที พลัสฯ ลงเหลือราว 9% เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อการจัดหาแหล่งเงินให้กับ JMT Plus ในช่วงที่แนวโน้มธุรกิจเติบโตในเชิงรุกมากจากนี้ ภายหลังเพิ่มประมาณการ ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2559-60 เติบโตอย่างมีนัยฯ ถึง 38.1%  จากปีก่อนแล 28.8%จากปีก่อนโดยแรงขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจจากนี้ มาจากธุรกิจบริหารหนี้เป็นหลักจากแผนการรับซื้อหนี้เชิงรุกขึ้นในครึ่งปีหลังของปี 59 และปี 2560  

นอกจากนี้คาดผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/59 เติบโตต่อเนื่องจากงวดไตรมาส 1/59 จากการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ สำหรับสินเชื่อบุคคลที่มีปัญหาในช่วงที่ผ่านมา โดยคาดผลการดำเนินงานของ JMT Plus จะเข้าสู่ระดับคุ้มทุนได้ในงวดนี้ และพลิกเป็นกำไรเล็กน้อยในงวดไตรมาส 4/59

โดยคงคำแนะนำซื้อ Fair value ปี 2559 ภายหลังปรับปรุงเพิ่มขึ้นเป็น 20 บาท จากเดิม 14.50 บาท อิง PBV 4.29 เท่า (เดิม 3.12 เท่า) ตามวิธี GGM ภายใต้คาดการณ์ ROE ระยะยาวที่ 15% (เดิม 13.8%)    

 

ขณะที่ราคาหุ้น JMT ปิดตลาดวานนี้ (20 ก.ย.) ที่ 14.40 บาท ลบ 0.30 บาท หรือ 2.04% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 12.05 ล้านบาทโดยราคาหุ้นยังมี Upside 43.06% จากราคาเป้าหมาย 20.60 บาท ด้าน P/E ล่าสุดอยู่ที่ 92.53 เท่า 

Back to top button