EPG คลื่นลูกที่ 2แฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG เป็นคนที่เชื่อมั่นในการทำงานของตนเองด้วยหลักการ ”3R-3S” ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และไม่ค่อยสนใจกับการพูดถึงราคาหุ้นมากไปกว่าการสร้างผลงานของบริษัทให้โดดเด่น
ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG เป็นคนที่เชื่อมั่นในการทำงานของตนเองด้วยหลักการ ”3R-3S” ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และไม่ค่อยสนใจกับการพูดถึงราคาหุ้นมากไปกว่าการสร้างผลงานของบริษัทให้โดดเด่น
ผลลัพธ์ที่คนได้เห็นมาโดยตลอดคือ มาร์เก็ตแค็ปของ EPG เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าราคาหุ้นของบริษัทจะไม่ได้พุ่งขึ้นตามที่นักวิเคราะห์พากันส่งเสียงเชียร์กี่มากน้อย
ราคาล่าสุดที่ระดับ 13.00-14.00 บาท จึงต่ำกว่าราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์บอกว่าควรจะอยู่ที่ระดับ 19.00 บาท
แต่นั่นก็มิได้ทำให้คนของตระกูลวิทูรปกรณ์ และ ดร.เฉลียว หวั่นไหว เพราะเชื่อว่าของดี ย่อมมีคนเห็นคุณค่าวันยังค่ำ
ล่าสุด หลังจากปล่อยให้นักลงทุนไทยได้ซึมซับกับการเติบโตของ EPG หลังจากเข้าตลาดมา 2 ปีเศษ ที่มีอัตราการเติบโตทั้งรายได้และกำไรที่งดงามชนิดก้าวกระโดด ไม่หวั่นไหวไปกับอุตสาหกรรมรถยนต์โดยรวมของไทยที่มีคนระบุว่าเสื่อมทรุดทั่วด้านจากภาวะเศรษฐกิจภายในและภายนอก เพราะยังสามารถใช้นวัตกรรมสร้างการเติบโตจากแหล่งผลิตในหลายประเทศทั้งไทย อินเดีย จีน และสหรัฐ ผู้บริหารของ EPG ก็ได้ตัดสินใจว่า
ช่วงเวลาของคลื่นลูกที่สอง…มาถึงแล้ว
คลื่นลูกแรกที่ดร.เฉลียว เฉลยคือ การนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย…จบไปแล้ว
คลื่นลูกที่สองคือ การหาผู้ลงทุนในอาเซียน จะต้องเกิดขึ้น
ก่อนจะตามมาด้วยอนาคตที่ยังไม่ได้กำหนด เป็นคลื่นลูกที่สาม นั่นคือการพบพันธมิตร นักลงทุนในยุโรป และสหรัฐ…เป็นเป้าหมายต่อไปที่ยังมาไม่ถึง…แต่รอได้
ก้าวใหญ่ของคลื่นลูกที่สองเริ่มขึ้นแล้ว เมื่อกำหนดการซึ่งถูกเปิดเผยโดย ดร.เฉลียว ว่า ภายในช่วงเดือนพฤศจิกายนปีนี้ บริษัทจะมีกำหนดเดินสายไปนำเสนอข้อมูลบริษัท หรือ โรดโชว์ ที่สิงคโปร์ ร่วมกับพี่เลี้ยงคนสำคัญ เจพีมอร์แกน เพื่อพบกับกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ
การเดินทางไปโรดโชว์ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่สองในต่างประเทศ หลังจากครั้งแรกเมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้เดินทางร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด
เป้าหมายคือ เพิ่มโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนในหุ้น EPG มากขึ้น เพราะพื้นฐานธุรกิจของบริษัทในปัจจุบันมีโครงสร้างที่แข็งแกร่ง ประกอบกับมีศักยภาพทำยอดขายและกำไรเติบโตได้อย่างมั่นคง
ช่วงที่ผ่านมาหุ้น EPG ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาเก็บหุ้นต่อเนื่อง โดยเข้ามาลงทุนผ่านบริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด จนส่งผลให้สัดส่วนการถือครองหุ้นของไทยเอ็นวีดีอาร์ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 4 จากเดิมอยู่ที่ประมาณอันดับ 5
จากการปิดสมุดทะเบียนล่าสุดเมื่อเดือนส.ค. 2559 ไทยเอ็นวีดีอาร์ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 จำนวน 46.3 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.65% ปรับเพิ่มขึ้นจากการปิดสมุดทะเบียนในช่วงเดือนมิ.ย. 2559 ที่ไทยเอ็นวีดีอาร์อยู่อันดับ 5 มีหุ้นรวม 41.2 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 1.47% ขณะที่การปิดสมุดทะเบียนช่วงเดือนพ.ย. 2558 ยังไม่มีไทยเอ็นวีดีอาร์เข้ามาร่วมถือหุ้นใน EPG
เปิดข้อมูลมาอย่างนี้ ใครที่เคยประมาทว่า ดร.เฉลียว และพี่น้องวิทูรปกรณ์ ไม่ใส่ใจกับราคาหุ้น…ต้องถอนคำพูดแล้วล่ะ
นี่ล่ะ คนดูแลหุ้นตัวจริง แต่ดูแลอย่างมีเหตุมีผล และเป็นวิทยาสาสตร์…ไม่ใช่เอาการสร้างราคาหุ้นเดินหน้า…ลูกเดียว
จุดขายที่ EPG จะแนะนำต่อนักลงทุนต่างชาติ คือ การเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรม (Innovation) โดดเด่นหลากหลายผลิตภัณฑ์ มีสินค้าที่ส่งออกขายหลายประเทศทั่วโลก และยังเป็นบริษัทที่มีศักยภาพควบคุมต้นการผลิต หรือต้นทุนทางการเงินเป็นอย่างดี โดยมียอดขายในงวดปี 2560 (เม.ย. 59-มี.ค. 60) จะเติบโตสู่ระดับ 10,000 ล้านบาท และยังรักษาระดับการทำอัตรากำไรขั้นต้นไว้ระดับสูง ซึ่งช่วงที่ผ่านสูงถึงระดับ 32%
มีของดีให้โชว์ ก็ไม่ควรอมพะนำเอาไว้…เดี๋ยวเสียของเปล่าๆ…ว่างั้นเถอะ
พูดเก่ง…แต่ทำเก่งกว่า ขายไม่ออกก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว
นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย ที่ยังไม่คิดจะเข้าถือหุ้น EPG หากยังเมินต่อไป ก็คงช่วยไม่ได้…เพราะอีกไม่นาน จะต้องมีสภาพ…อะไรเอ่ย…เห็นเครื่องบิน บินมาไวไว
“อิ อิ อิ”