พาราสาวะถี อรชุน

คำเตือน “ให้ระวังตัว” ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีต่อ พลเอกปรีชา จันทร์โอชา น้องชายนั้น ถือเป็นการแสดงความห่วงใยในฐานะพี่ที่ดี หรืออีกนัยหนึ่งพึงเตือนว่าให้คนใกล้ตัวระมัดระวังในการที่จะกระทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่างหรือเปล่า เพราะแม้มันจะหาเหตุผลมาอ้างสารพัดแต่สิ่งสำคัญที่สังคมกังขาคือความเหมาะสม


คำเตือน “ให้ระวังตัว” ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีต่อ พลเอกปรีชา จันทร์โอชา น้องชายนั้น ถือเป็นการแสดงความห่วงใยในฐานะพี่ที่ดี หรืออีกนัยหนึ่งพึงเตือนว่าให้คนใกล้ตัวระมัดระวังในการที่จะกระทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่างหรือเปล่า เพราะแม้มันจะหาเหตุผลมาอ้างสารพัดแต่สิ่งสำคัญที่สังคมกังขาคือความเหมาะสม

ปีก่อนหน้ามีประเด็นเรื่องลูกชายปฏิพัทธ์ เข้ารับราชการตำแหน่งนายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 3 มียศร้อยตรี ท่ามกลางเสียงวิจารณ์หนาหูก่อนที่ทั้งบิ๊กตู่และบิ๊กติ๊กจะปล่อยให้เวลาผ่านไป แล้วคนก็ลืม มาปีนี้มีเรื่องเป็นแพ็กคู่ ภรรยาผ่องพรรณไปเปิดฝายกั้นน้ำที่เชียงใหม่ดันมีการตั้งชื่อฝายว่า “แม่ผ่องพรรณพัฒนา”

เท่านั้นแหละโซเชียลมีเดียลุกเป็นไฟ มีการโพสต์ภาพพร้อมข้อความขยายผลกันสนุกสนาน ก่อนที่ ศรีสุวรรณ จรรยา จะไปยื่นเรื่องต่อป.ป.ช.ให้ตรวจสอบ งานนี้มีคำอธิบายมาจากบิ๊กติ๊กเงินที่ใช้เป็นของหลวงแค่ 7 พันกว่าบาทที่เหลือชาวบ้านเขาช่วยกันระดมทุนก่อนจะพร้อมใจกันตั้งชื่อฝายเป็นชื่อภรรยา ก็ไม่ว่ากัน ให้เก็บคำอธิบายนี้ไปชี้แจงต่อป.ป.ช.ก็แล้วกัน

จึงมีคนตั้งคำถามเล่นๆ ว่า หากเป็นกรณีเดียวกันแล้วคนที่ถูกนำชื่อไปตั้งเป็นชื่อฝายอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ต้องใช้เงินหลวงถึง 7 พันเอาแค่สัก 3-5 พันบาท ถามว่ากระแสการกดดันหรือกระบวนการตรวจสอบมันจะเป็นไปเหมือนอย่างที่เป็นอยู่นี้หรือไม่ โดยเฉพาะบรรดาคนดีทั้งหลายแหล่คงจะเฮโลสาระพามาเรียกร้องให้อดีตนายกฯหญิงแสดงความรับผิดชอบกันยกใหญ่

ความวัวยังไม่ทันหาย ก็มีความลูกชายอีกคนเข้ามาแทรก ปฐมพลในฐานะหุ้นส่วนใหญ่หรืออาจจะเรียกได้ว่าเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดคอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ไปรับงาน 2 โครงการของกองทัพภาคที่ 3 คือโครงการก่อสร้างอาคารค่ายพ่อขุนผาเมืองและตึกแถวนายทหาร จังหวัดตาก 2 สัญญา มูลค่า 26.9 ล้านบาท งานนี้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ถึงกับออกมาการันตีทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการอย่างถูกต้อง

แม้จะบอกว่าเป็นการประมูลผ่านระบบอี-บิดดิ้ง แต่สิ่งที่หลายคนตั้งคำถามคือ ทำไมไม่ไปรับงานที่อื่น เพราะต้องไม่ลืมว่าพ่อก็เคยเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 แล้ววันนี้มาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมและก็มีลุงเป็นนายกรัฐมนตรี หากต้องการจะให้ปราศจากข้อครหาก็น่าจะเตือนกันบ้าง จะอธิบายกันอย่างไร ถามว่าถ้าคนจะสงสัยเช่นนี้เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนได้หรือไม่

กรณีเช่นนี้องค์กรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการตรวจสอบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรต้านคอร์รัปชั่นที่มีคนอย่าง ประมณฑ์ สุธีวงศ์ ผู้ที่พาท่านผู้นำไปเปิดไฟไล่โกงกลางท้องสนามหลวง น่าจะช่วยตรวจสอบหรือช่วยออกมาปรามบ้างก็ดี ประเด็นนี้ก็เช่นเดียวกันหากลองเป็นคนตระกูลชินวัตร วงศ์สวัสดิ์หรือดามาพงศ์ ไปรับงานส่วนราชการถามว่าจะอยู่รอดปลอดภัยอย่างนั้นหรือ

อีกประการที่หลายคนอดสงสัยไม่ได้ จากการชี้แจงของสำนักปลัดกระทรวงกลาโหมต่อกรณีที่เกิดขึ้น โดยพุ่งเป้าไปว่า เกิดจากพวกผิดหวังจากการแต่งตั้งโยกย้ายที่ผ่านมา ทำให้เกิดความไม่พอใจพลเอกปรีชาเลยไปหาเรื่องเอาผิดกับภรรยา ซึ่งถือเป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะก็มีคนในที่ไม่พอใจหรือไม่ชอบผ่องพรรณเนื่องจากเป็นคนดุ เข้มงวดและเจ้าระเบียบ

ประเด็นหลังในฐานะหลังบ้านของปลัดกระทรวงก็ไม่น่าจะมีใครในสำนักงานต้องโมโหรุนแรงขนาดนั้น เพราะหากเกิดขึ้นนั่นหมายความว่าบิ๊กติ๊กหิ้วเมียไปทำงานด้วยและไปจุ้นจ้านต่อการบริหารงานภายใน ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ ประเด็นที่ต้องขีดเส้นใต้และจับผิดถ้อยแถลงของสำนักปลัดกระทรวงกลาโหมก็คือ ความไม่พอใจจากการแต่งตั้ง

การยกเรื่องนี้มาเพื่อปกป้องนายและองค์กร มันไปตบหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลและคสช. เพราะพลเอกประวิตรยืนยันอย่างหนักแน่นไม่มีปัญหาความขัดแย้งใดๆ เกิดขึ้นกับโผแต่งตั้งโยกย้ายนายพลในปีนี้ แล้วสำนักปลัดกระทรวงที่ท่านนั่งว่าการอยู่แถลงการณ์ออกมาเช่นนี้ มันหมายความว่าอย่างไร นี่อาจะเป็นอีกหนึ่งจุดของความย้อนแย้งจากฝ่ายผู้มีอำนาจที่พบเห็นมาแล้วในหลายกรณี

ประเด็นนี้สุดท้ายคงต้องรอไปให้จบที่ป.ป.ช.หรือไม่ก็ปล่อยเวลาให้ทอดไปแป๊บเดียวคนไทยก็ลืม นี่คือสูตรสำเร็จ ไม่รู้กลัวอะไรนักหนา สมชัย ศรีสุทธิยากร ถึงต้องรีบออกมาแถลงข่าวดักคอกรธ.เรียกร้องขอความเป็นธรรม หากจะเซตซีโร่กกต.โดยอ้างเหตุร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ก็ต้องโละบรรดากรรมการองค์กรอิสระอื่นๆ ด้วย

กลายเป็นว่าแทนที่จะปกป้องตัวเองกลับเป็นการไปหาศัตรูเพิ่ม บรรดากรรมการองค์กรอิสระทั้งหลายคงไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง ว่าแล้ว มีชัย ฤชุพันธุ์ จึงต้องออกมาแจกแจง กรธ.ยังไม่ได้พิจารณากันไปถึงตรงนั้น สิ่งสำคัญคือไม่เคยมีแนวคิดหรือพูดว่าจะเซตซีโร่กกต. ก็ไม่รู้ว่า 5 เสือกกต.ฟังแล้วจะสบายใจกันขึ้นมาบ้างหรือไม่

แต่หากจะฟังให้ละเอียด บทสัมภาษณ์ของมีชัยก็มีช่วงหนึ่งที่บอกว่า ในร่างรัฐธรรมนูญระบุไว้ องค์กรอิสระที่มีอยู่ให้คงไว้ตามเดิม จนกว่าจะมีกฎหมายลูก หลังจากนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรให้เป็นไปตามกฎหมายลูก ตรงนี้แหละที่มันคือสัญญาณความไม่แน่นอน ประกอบกับ อุดม รัฐอมฤต โฆษกกรธ.ออกมาแถลงข่าวซ้ำอีก

โดยมีการระบุว่าเรื่องของกกต.เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน กรธ.จะต้องพิจารณาให้รอบคอบ ทว่าบทบาทหรือท่วงทำนองของกกต.ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าภายในองค์กรมีความวุ่นวาย โดยเฉพาะล่าสุด ที่มีการแย่งเก้าอี้ประธานกันจนตกเป็นข่าวใหญ่โต แม้ว่ากรธ.อาจจะเห็นอกเห็นใจ แต่หากผู้มีอำนาจเต็มเขาไม่พอใจแล้วสั่งให้เชือด ทุกอย่างก็จบกัน

ตรงนี้ต้องย้อนกลับไปดูความเห็นของ จาตุรนต์ ฉายแสง ที่พูดถึงการรัฐประหาร 19 กันยาน 2549 ว่าได้ทำลายรากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างทั่วด้าน แต่ชนชั้นนำยังควบคุมและกำหนดทิศทางของสังคมไทย ไม่ได้ดั่งใจ จึงจำเป็นต้องมีรัฐประหาร 22 กันยายน 2557 เพื่อสานต่อภารกิจควบคุมสังคมไทยที่ยังไม่สมประสงค์จึงเป็นภารกิจต่อเนื่องและต่อยอดจากรัฐประหาร 19 กันยายน แต่จะเข้มข้น รุนแรงและมีฤทธิ์ทำลายล้างรากฐานประชาธิปไตยมากกว่ากันมาก นี่แหละที่ต้องขีดเส้นใต้ตัวโตๆ

Back to top button