TU:พื้นฐานแกร่งธุรกิจเติบโตดี-ยั่งยืนแนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 26.5 บาท

TU ธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตดีและยั่งยืน ทั้งนี้บริษัทยังไม่เคยรายงานผลขาดทุนเลยนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ในด้านการดำเนินกิจการก็เป็นไปอย่างโปร่งใส ใช้แรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย ปฎิบัติตามกฎระเบียบของทางการ มีแหล่งวัตถุดิบที่มั่นคง และพัฒนาผลิตภัณฑ์ & ขยายตลาดมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นหนึ่งใน 13 ของบริษัทกลุ่มอาหารของโลกที่อยู่ใน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) แนะนำซื้อให้ราคาพื้นฐาน 26.50 บาท


บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (23 ก.ย.) ว่า บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือTU อุตสาหกรรมอาหารทะเลโลกเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.3% ผู้บริหารกล่าวว่าการบริโภคอาหารทะเลของโลกยังคงเติบโตต่อเนื่อง ทาง TechNavio ประเมินมูลค่าตลาดไว้ที่ USD207bn และจะขยายเป็น USD255bn ในปี 63 หรือขยายตัวเฉลี่ย 4.3% ต่อปี โดยเป็นสัดส่วนของอาหารสดและแช่เย็น 67.6%, อาหารกระป๋อง 13.9%, อาหารแปรรูปแช่แข็ง 13.7% และอื่นๆ 4.8%

การเติบโตใน 5 ปีข้างหน้ามาจากการขยายตัวภายใน การเปิดส่วนงานใหม่ และการซื้อกิจการ บริษัทมีแผนขยายรายได้จาก US$3.7bn ในปี 58 เป็น US$8bn ในปี 63 (+US$4.3bn หรือขยายตัวเฉลี่ย 16.7% ต่อปี) โดยตั้งเป้าขยายรายได้จากภายใน US$1.7bn ขยายส่วนงาน US$1.2bn และจากการซื้อกิจการ US$1.4bn ซึ่งการเติบโตภายในบริษัท ครึ่งหนึ่งเป็นไปตามการบริโภคที่ขยายตัว ส่วนที่เหลือมาจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การขยายตลาดไปยังตลาดเกิดใหม่

โดยตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูง คือ ตะวันออกกลาง (เพิ่งออกแบรนด์ John West ไป), จีน (ทำตลาดมา 15 ปีแล้ว เห็นว่าผลิตภัณฑ์ลอบสเตอร์และซัลมอลมีแนวโน้มเติบโตดีในตลาดนี้ซึ่งได้เริ่มทำตลาดในเมืองใหญ่แล้วตั้งแต่ปลายปี 58 ขณะที่ทูน่าไม่ได้เป็นที่นิยมของชาวจีน) และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) และการให้บริการด้านอาหาร โดยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่นอกจากช่วยเพิ่มรายได้แล้วยังทำให้อัตรากำไรในปี 63 สูงขึ้นเป็น 18-19% (จาก 15-16% ในปัจจุบัน)

การเข้าซื้อกิจการจะเน้นไปที่ปลายน้ำของอาหารทะเลเป็นหลัก ทั้งนี้เพื่อให้มีความมั่นคงในตลาดปลายทาง,มั่นคงในแบรนด์ และช่องทางการจัดจำหน่าย เราเชื่อว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการกลุ่มบริษัทหลังการควบรวมได้ดี มี Synergies อำนาจต่อรองและโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น

เรื่องวัตถุดิบไม่น่ากังวล & มีการกระจายของแบรนด์สินค้า เพราะมีอุปทานอยู่มาก โดยวัตถุดิบหลัก 70% เป็น Skipjack, 20% เป็น Yellow Fin และ 10% เป็น Albacore ซึ่งมีอุปทานเพิ่มขึ้นมากกว่าอัตราการจับ ส่วน Bluefin tuna ที่ตึงตัวนั้นใช้สำหรับการทำซาซิมิซึ่งทาง TU ไม่ได้ใช้ทูน่าประเภทนี้ ในด้านแบรนด์สินค้าก็กระจายตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการเข้าซื้อกิจการมาอย่างต่อเนื่องของบริษัท เช่น MerAlliance (smoked salmon), King Oscar (sardine), Orion and Chez Nous (lobster) เป็นต้น

แนะนำซื้อให้ราคาพื้นฐาน 26.50 บาท โดยมองว่าธุรกิจของบริษัทมีแนวโน้มเติบโตดีและยั่งยืน ทั้งนี้บริษัทยังไม่เคยรายงานผลขาดทุนเลยนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ในด้านการดำเนินกิจการก็เป็นไปอย่างโปร่งใส ใช้แรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย ปฎิบัติตามกฎระเบียบของทางการ มีแหล่งวัตถุดิบที่มั่นคง และพัฒนาผลิตภัณฑ์ & ขยายตลาดมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นหนึ่งใน 13 ของบริษัทกลุ่มอาหารของโลกที่อยู่ใน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI)

Back to top button