พาราสาวะถี อรชุน
ปล่อยให้หลงเชื่อมาตั้งนาน บรรดาโฆษกทั้งหลายไล่ตั้งแต่รัฐบาลมาจนถึงคสช. เที่ยวโพนทะนาว่าต่างประเทศให้การยอมรับรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งมากระจ่างเอาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังจากที่ท่านนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ยอมรับเองว่า หลายประเทศเขาไม่ยอมรับรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร
ปล่อยให้หลงเชื่อมาตั้งนาน บรรดาโฆษกทั้งหลายไล่ตั้งแต่รัฐบาลมาจนถึงคสช. เที่ยวโพนทะนาว่าต่างประเทศให้การยอมรับรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งมากระจ่างเอาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังจากที่ท่านนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ยอมรับเองว่า หลายประเทศเขาไม่ยอมรับรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร
ก่อนที่จะเรียกร้องให้นักข่าวช่วยกันสร้างความเชื่อมั่นเพื่อให้นานาประเทศยอมรับ ความจริงไม่ได้ปกป้องพวกเดียวกันเอง แต่เรื่องเช่นนี้มันทำไม่ได้ เพราะผู้นำของแต่ละประเทศ เขาไม่ได้เชื่อในสิ่งที่สื่อของไทยนำเสนอ แต่หากเขาดูจากผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของรัฐบาลที่กำลังบริหารบ้านเมืองอยู่เวลานี้ สรุปง่ายๆ คือ ไม่มีใครนำข้อมูลเท็จไปยัดเยียดหรือบังคับให้รัฐบาลนานาชาติเขาเชื่อนั่นเอง
ตรงนี้ก็เป็นบทพิสูจน์ในสิ่งที่พูดมาโดยตลอด บรรดากระบอกเสียงทั้งหลาย อย่าตีความหมายเอาจากสิ่งที่เห็นว่าบิ๊กตู่ได้สัมผัสมือกับบรรดาผู้นำโลกประชาธิปไตย เขายิ้มแย้มแจ่มใสทักทายโอภาปราศรัยเป็นอย่างดี แล้วมันหมายถึงการยอมรับ เพราะนั่นเป็นเพียงแค่หน้าฉากเป็นเรื่องของมารยาททางการทูต ความเป็นจริงคือสิ่งที่เขาเรียกร้องไล่หลังมาต่างหาก
ทั้งการยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน การคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชน ในเมื่อทั้งหมดยังทำไม่ได้ มาตรการหลายๆ อย่างที่ยกตั้งการ์ดสูงกับประเทศไทยก็ยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป นี่ต่างหากคือปัจจัยสำคัญที่คนอย่าง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็น่าจะเข้าใจว่า มันไม่ได้มีที่มาจากภาวะเศรษฐกิจโลกเพียงอย่างเดียว ถามตรงๆ ว่า ประเทศประชาธิปไตยที่ไหนอยากจะคบค้าสมาคมกับรัฐบาลเผด็จการ
พอเห็นท่วงทำนองการยอมรับความจริงของท่านผู้นำวันนั้น ก็ทำให้นึกถึงปาฐกถาของ ธงชัย วินิจจะกูล กับหัวข้อ “งานทางปัญญาในสังคมอับจนปัญญา” ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ในกิจกรรมเปิดงานศิลปะกับสังคม 40 ปี 6 ตุลาคม 2519 เมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา วลีเด็ดก็คือ “โลกไม่ต้อนรับพวกหวังสั้นๆ ม้วนเดียวจบ แต่ต้อนรับพวกเข้าใจสัจจะและค่อยๆ ก้าว”
โดยธงชัยฉายภาพหลายๆ เรื่องที่น่าสนใจว่า หากพูดในทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยเป็นประเทศที่ติดกับดักรายได้ปานกลาง ในทางการเมืองพลเอกประยุทธ์ชอบกล่าวว่าเราติดกับดักประชาธิปไตย แต่ตนกลับคิดว่าเราติดกับดักกึ่งประชาธิปไตยต่างหาก ตลอด 40 ปีที่ผ่านมาเราพยายามไปให้พ้นภาวะประชาธิปไตยครึ่งใบในรูปแบบต่างๆ ระบอบการเมืองในอนาคตอันใกล้ก็คาดได้ไม่ยากว่าจะอยู่ในกึ่งประชาธิปไตยอย่างน้อยอีก 10-20 ปี
ส่วนในด้านปัญญาความรู้ เราเติบโตมาระดับหนึ่ง แต่ลงท้ายเราติดกับดักทางปัญญาระดับปานกลาง เราพอใจกับการมีปัญญาแค่พอเพียง แต่ตนอยากจะเรียกว่า สังคมอับจนปัญญา ซึ่งสาเหตุของการอับจนปัญญาหรือมีปัญญาอย่างพอเพียง ในมุมมองของธงชัยมีอยู่ 3 ปัจจัย
อย่างแรกคือ ความสัมพันธ์ทางสังคมสูงต่ำเป็นช่วงชั้นที่สถาปนาตัวเองเป็นระบบอุปถัมภ์ขององค์กรทุกชนิด มันทำให้สถาบันยึดตัวบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่แทนที่จะยึดกับกฎเกณฑ์ กฎหมาย หลักการ จรรยาบรรณวิชาชีพ ทุกสังคมทุกองค์กรในโลกนี้มีทั้งสองด้าน แต่ประเด็นคืออะไรเป็นหลัก อะไรเป็นรอง ระบบอุปถัมภ์มีผลถึงทุกอย่างแม้แต่นิติรัฐ ในความเป็นจริงนิติรัฐของไทยตั้งแต่เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ไม่เคยมีนิติรัฐที่ประชาชนเสมอภาคกันทุกคน แต่เป็นหลักนิติรัฐแบบอุปถัมภ์
ประการต่อมาคือ ปัจจัยทางการเมือง การเมืองที่ค้ำจุนอำนาจแบบเดิมหรือแบบช่วงชั้นนี้ ไม่ว่าระบอบเผด็จการทหารหรือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในช่วง 40 ปีหลังนี้ มีความเหมือนในแง่ที่ว่า ไม่มีระบอบไหนที่กัดเซาะระบบความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ รวมทั้งระบอบหลังการปฏิวัติ 2475 ด้วย แม้มีความพยายามแต่ก็ล้มเหลว
โปรดสังเกตว่า ยามใดก็ตามที่ทหารครองอำนาจ โดยเฉพาะช่วง 2 ปีมานี้ยิ่งเห็นชัด วัฒนธรรมทางปัญญาจะย้อนกลับไปสู่อนุรักษนิยมอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก การเมืองที่ดีไม่ใช่เพียงมุ่งเน้นแค่เรื่องการปราบคอร์รัปชั่น ทั้งโลกล้วนเห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องความสัมพันธ์ทางอำนาจ ถ้าประชาชนเป็นใหญ่ มีโอกาสตรวจสอบผู้มีอำนาจ เปลี่ยนผู้มีอำนาจได้ตามเจตจำนง อย่างน้อย 4 วินาทีในคู่หาเลือกตั้งในทุกๆ 4 ปีก็ยังดี เพราะมันคือการเปิดประตูไปสู่การจัดสรรความสัมพันธ์ของอำนาจในสังคมว่าจะอยู่ในลักษณะไหน
โดยสรุป การต่อสู้ทางวัฒนธรรมทางปัญญาไม่มีทางลัด ต้องสู้ทีละก้าว แต่ขอได้โปรดตระหนักว่า ไม่ใช่ฟังแล้วจะต้องหมดแรง มันมีก้าวกระโดดเป็นระยะ ที่ว่าไม่มีทางลัดคือ อย่าหวังการปฏิวัติพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ม้วนเดียวเกิดการเปลี่ยนแปลง มันต้องก้าวไปเรื่อยๆ ทีละก้าวๆ แล้วผลักดันให้เกิดการกระโดดบ้าง เพราะการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินพิสูจน์มาแล้วว่าล้มเหลวแม้กระทั่ง 2475 แม้เปลี่ยนการเมืองแต่ก็เปลี่ยนระบบอุปถัมภ์ยังไม่ได้
ถ้าต้องการการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ถ้าชีวิตนี้คิดว่าไม่มีสิ่งนั้นแล้วจะเก็บของกลับบ้านก็เชิญ แต่ถ้าเราตระหนักในความเป็นจริงของมนุษย์ว่ามันหลากหลาย เราไปบังคับเขาไม่ได้ ถ้าเคารพในปัจเจกมันต้องให้เวลา เราควรทำตัวเราทำใจเราให้พร้อมกับภาวะที่ต้องสู้กันยาวๆ เราอาจไม่ทันได้พบนักแสดงตลกดีๆ หรือหนังสือประวัติศาสตร์ดีๆ ก็ได้ เพราะเราอาจตายก่อน ถ้าคุณคิดว่าทำใจได้ เข้าใจภาวะปกติของมนุษย์ เราก็ผลักดันต่อทีละด้าน ทีละกรณี ไปเรื่อยๆ อยู่กันยาวๆ
เรามีความทุกข์ขมขื่นผิดหวังกับประชามติ แต่ถ้าเรามีวุฒิภาวะทางปัญญาจริงเราควรเข้าใจสิ่งนี้ และมีความสุขกับการสู้ไปยาวๆ ได้ โปรดตระหนักอยู่ในใจตลอดเวลา โลกเปลี่ยนแปลงได้ และโลกเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ความเป็นจริงสังคมไทยเปลี่ยนแปลงในระดับรากฐานเชิงโครงสร้างมาเท่าไหร่แล้ว ไม่ได้อยู่นิ่ง และความปรารถนาในชีวิตที่ดีของปุถุชนธรรมดานั่นเองจะทำให้คนสร้างสรรค์
ธรรมชาตินี้ไม่เคยตายจากมนุษย์ ทำอย่างไรให้ศักยภาพเหล่านั้นเสนอตัว แสดงตัวออกมา สู้ไปทีละนิดๆ เพราะเราเชื่อมั่นว่ามนุษย์อยากมีชีวิตที่ดี so basic ไม่ต้องการอุดมการณ์ใดๆ มาค้ำยันด้วยซ้ำ ตนเรียกมันว่า historical optimism โลกไม่ต้อนรับพวกหวังสั้นๆ ม้วนเดียวจบ แต่ต้อนรับพวกเข้าใจสัจจะและค่อยๆ ก้าว เป็นการค่อยๆ ก้าว อย่างคงเส้นคงวาตลอดชีวิตโดยมีการมองโลกในแง่ดีเช่นนั้นเป็นพื้นฐาน
บทสรุปที่ต้องขีดเส้นใต้คือ ในระยะใกล้สถานการณ์อาจแย่ลงมาก แต่เชื่อมั่นเถิดว่าในระยะยาวประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแน่ๆ เพราะคนเปลี่ยน ความหลากหลายของคนมีมากขึ้น สังคมซับซ้อนขึ้นจนไม่สามารถตกลงกับแบบอื่นได้นอกจากต้องเจรจาต่อรองอย่างสันติ ประชาธิปไตยเป็นเรื่องหนีไม่พ้นสำหรับสังคมที่ขยายตัวและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ นี่แหละคือความจริงที่ผู้นำเผด็จการได้พบเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน