พาราสาวะถี อรชุน

ในห้วงเวลาสำคัญเช่นนี้สิ่งหนึ่งที่เราจะได้เห็นในซีกส่วนของรัฐบาลคือ ท่วงทำนองของเนติบริกรที่จะต้องโชว์ความพลิกพลิ้ว คอยแจกแจงปมร้อนที่ถาโถมเข้าใส่ท่านผู้นำและชาวคณะด้วยลีลาเหลือรับประทาน ดังเช่นที่ วิษณุ เครืองาม กำลังทำอยู่ขณะนี้ ตั้งแต่กรณีการไขสือไม่เข้าใจข้อบังคับของกระทรวงกลาโหมที่ห้ามใช้บ้านพักข้าราชการไปทำธุรกิจ ด้วยข้ออ้างไม่รู้หมายความว่าอย่างไร


ในห้วงเวลาสำคัญเช่นนี้สิ่งหนึ่งที่เราจะได้เห็นในซีกส่วนของรัฐบาลคือ ท่วงทำนองของเนติบริกรที่จะต้องโชว์ความพลิกพลิ้ว คอยแจกแจงปมร้อนที่ถาโถมเข้าใส่ท่านผู้นำและชาวคณะด้วยลีลาเหลือรับประทาน ดังเช่นที่ วิษณุ เครืองาม กำลังทำอยู่ขณะนี้ ตั้งแต่กรณีการไขสือไม่เข้าใจข้อบังคับของกระทรวงกลาโหมที่ห้ามใช้บ้านพักข้าราชการไปทำธุรกิจ ด้วยข้ออ้างไม่รู้หมายความว่าอย่างไร

ล่าสุด ก็ทำหน้าที่โยนหินถามทางแต่ฝ่ายการเมืองมองว่าเป็นการบีบคอให้พรรคการเมืองต้องเลือกอย่างหนึ่งอย่างใดหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ด้วยคำขู่หากเลือกนายกรัฐมนตรีกันไม่ได้ ก็จำเป็นจะต้องยุบสภาเพื่อเลือกตั้งกันใหม่ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์หนาหูว่าจะเป็นการงัดมาตรา 44 ออกมาใช้อีกแล้วหรือ และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หาเหตุอยู่ยาวใช่หรือไม่

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา วิษณุออกมาอธิบายไขข้อกระจ่างแล้วว่า ไม่ใช่การใช้มาตรา 44 เพราะรัฐบาลคสช.มีอำนาจในการยุบสภา โดยใช้พระราชกฤษฎีกายุบสภา ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เหมือนที่เคยทำกันมา และไม่สามารถใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ประกาศยุบสภาได้ เป็นอันว่าเข้าใจกันตามนี้

ส่วนที่มีคนตีความไปเช่นนั้น เป็นเพราะวิษณุไม่ได้บอกให้ชัดในวันที่ให้สัมภาษณ์ เพียงแค่ว่า หลังเลือกตั้งระหว่างที่รอกระบวนการเลือกนายกฯ รัฐบาลนี้ยังอยู่ คสช.และมาตรา 44 ก็ยังอยู่ จึงถูกนำไปตีความหมายไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นเช่นนั้นคงต้องฝากให้นักข่าวที่ติดตามเนติบริกรประจำรัฐบาล ช่วยขอคำอธิบายทุกครั้งเวลาที่มีการสัมภาษณ์แล้ว “ไม่เคลียร์”

แต่ที่เพลียหัวใจสำหรับท่านผู้นำคงหนีไม่พ้นปมน้องชายเป็นพิษ มีหลานไปทำธุรกิจ ลำพังรับงานในพื้นที่ที่พ่อตัวเองเคยมีบารมีก็ว่าไม่น่าจะเหมาะสมแล้ว ยังดันไปใช้ที่พักในค่ายทหารอันเป็นสถานที่ประมูลงานตั้งบริษัทอีกต่างหาก เรียกว่าเพิ่มโจทย์ยากให้กับลุงต้องแสดงความหงุดหงิดตอบคำถามนักข่าวเข้าไปอีก นี่ยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรโผล่มาอีกหรือเปล่า

ที่แพลมๆ กันมาเวลานี้ก็คือ ไม่ใช่แค่บริษัทตั้งอยู่ในค่ายทหารเท่านั้น แต่ยังพบว่ามีการใช้แรงงานไอ้เณรในสังกัดพร้อมเครื่องไม้เครื่องมือของทางราชการอีกส่วนหนึ่ง ถือเป็นบริษัทที่ใช้ต้นทุนต่ำจริงๆ เพราะแค่ทุนจดทะเบียนแค่ล้านห้าแต่สามารถไปรับงานร่วมร้อยล้านได้สบายๆ ก็ไม่รู้ว่าที่ไปเปิดไฟไล่โกงกลางสนามหลวงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจกันบ้างเลยหรือ

อีกประการสำหรับองค์กรเลือกปราบโกง ที่ช่วยการันตีความเป็นคนดี ซื่อสัตย์ของท่านผู้นำ ก็สร้างความแปลกใจให้กับคนส่วนใหญ่กันไม่น้อย โดยปกติคนดีจริงไม่จำเป็นต้องให้ใครมายืนยัน ยิ่งยังนั่งบริหารประเทศโดยไม่รู้ว่าจะหมดวาระเมื่อไหร่ องค์กรดังว่านั้นมั่นใจได้ล้านเปอร์เซ็นต์เลยหรือว่าจะไม่มีการทุจริตใดๆ เกิดขึ้น

ถือเป็นความโชคดีหรือไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาได้สร้างสูตรสำเร็จของบรรดาคนดีเขาไว้แล้วหรือเปล่า ก็อย่างที่รู้กันประธานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ถูกร้องปมเลี่ยงภาษีนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง และคดีอยู่ในระหว่างการสอบสวนของดีเอสไอ ปรากฏว่าท่านผู้นำก็ช่างใจดีเหลือหลายตั้งให้คนดังว่าไปนั่งเป็นบอร์ดดีเอสไอ มันส่อสะท้อนอะไรบางอย่างได้เป็นอย่างดี

ด้วยเหตุนี้บทความของ นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตรัฐมนตรีไอซีทีที่ชื่อ “ปาหี่เปิดไฟไล่โกง” จึงเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเจ้าตัวบอกว่า กระบวนการยุติธรรมต้องพร้อมตรวจสอบทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครและยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม ความจริง พลเอกปรีชา จันทร์โอชา เคยมีปัญหาตั้งแต่คราวแสดงบัญชีเมื่อคราวเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 แล้ว

หลังจากมีข่าวเรื่องการค้นพบเงินจำนวนไม่น้อยในบัญชีของภรรยาตอนแจ้งบัญชีทรัพย์สินกับป.ป.ช. ซึ่งต่อมามีการชี้แจงว่าเป็นความเข้าใจผิด เพราะเงินดังกล่าวไม่ใช่เงินของภรรยาพลเอกปรีชา แต่เป็นเงินของกองทัพที่ฝากไว้ในชื่อของภรรยา เรื่องนี้ต้องยอมรับว่าแม้จะมีการชี้แจงไปแล้ว แต่สังคมก็ยังไม่สิ้นความสงสัย เพราะหากเชื่อตามคำชี้แจงว่าเป็นเงินของกองทัพจริง ก็ยังมีคำถามต่อว่า แล้วมันเข้าไปอยู่ในบัญชีของภรรยาท่านได้อย่างไร

หมดเรื่องนั้นไป ก็ยังมีปมเรื่องลูกชายที่ได้รับการบรรจุให้เป็นนายทหารสังกัดกองทัพภาคที่ 3 จนกระทั่งมาถึงเรื่องภรรยากับฝายที่เชียงใหม่และบริษัทลูกชาย คำถามสำคัญไม่ใช่เรื่องของระเบียบหรือกระบวนการที่เป็นไปตามขั้นตอนของทางราชการ แต่สิ่งสำคัญมันเป็นเรื่อง “จริยธรรม” ว่าการกระทำเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่ต่างหาก

คำถามที่นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์สงสัย ก็คงเหมือนอย่างที่หลายคนตั้งปุจฉาและเคยแสดงความกังขาไปก่อนหน้านี้ นั่นก็คือ หากบริษัทนี้ไม่ได้เป็นบริษัทของลูกชายท่านที่มีคุณพ่อเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมและมีคุณลุงเป็นนายกรัฐมนตรี บริษัทนี้จะชนะการประมูลที่มีคู่แข่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เขี้ยวลากดินมาได้อย่างไร

โปรดอย่าลืมว่า แม้ท่านจะฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าทิ้งไปแล้ว แต่พ.ร.บ.ฮั้วประมูลหรือพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐยังอยู่ แม้พลเอกประยุทธ์จะออกมาแสดงความเป็นห่วงพลเอกปรีชาและครอบครัวในฐานะพี่ชายที่แสนดี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าซาบซึ้งก็ตาม แต่การเปิดไฟไล่โกงจะสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าใต้แสงไฟดังกล่าว ท่านจะจัดการกับทุกคนที่ท่านเห็นจริงหรือไม่ หรือการเปิดไฟไล่โกงเป็นเพียงแค่ปาหี่เอาไว้หลอกสาวกของตัวเองเท่านั้น

หากบทสรุปเป็นอย่างที่นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ว่า นั่นก็จะย้อนกลับไปยังสิ่งที่ได้พูดมาโดยตลอดก็คือ เหล่าคนดีได้สร้างเกราะป้องกันให้กับตัวเอง ด้วยการยกเอาเรื่อง คุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาล เป็นฉากบังหน้า เพื่อทำให้ตัวเองและชาวคณะดูดี แต่พอหลายๆ เหตุการณ์มันมาช่วยตอกย้ำ ก็คงจะมีแต่เพียงกองเชียร์เท่านั้นที่ยังคงกราบไหว้ด้วย แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วเริ่มที่จะปรากฏอาการระอา เมื่อบวกเข้าไปกับการรอชมฝีมือในการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ถ้าคนเบื่อถึงขีดสุดนั่นจะเป็นสัญญาณอันตรายต่อให้ถืออำนาจมาตรายาวิเศษก็อาจจะเอาไม่อยู่

 

Back to top button