TU ทุ่ม 2 หมื่นล้าน เข้าลงทุน “เรด ล็อบสเตอร์ ซีฟู้ด” ในสหรัฐ
TU ทุ่ม 2 หมื่นล้านเข้าลงทุน “เรด ล็อบสเตอร์ ซีฟู้ด” ในสหรัฐ
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ (10 ต.ค.) อนุมัติการเข้าลงทุนโดยบริษัท หรือบริษัทย่อย เข้าลงทุนในหน่วยลงทุนสามัญจำนวน 1.69 ล้านหน่วยของ Red Lobster Master Holdings, L.P. (Red Lobster) ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของรัฐดัลลาแวร์ และหุ้นกลุ่ม H ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ GGCOF RL Blocker, LLC (RL LLC) ซึ่งเป็นบริษัทประเภทจำกัดความรับผิดที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของรัฐดัลลาแวร์และเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนใน Red Lobster โดยการเข้าซื้อหุ้นกลุ่ม H ดังกล่าวเทียบได้กับการเข้าลงทุนในหน่วยลงทุนสามัญของ Red Lobster เพิ่มเติมอีก 8.13 แสนหน่วย ซึ่งการเข้าซื้อตราสารทั้งสองประเภทดังกล่าวเทียบได้กับการเข้าลงทุนคิดเป็นสัดส่วนที่ปรับลดแล้วเท่ากับ 25% ของหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งมดของ Red Lobster
ทั้งนี้ผู้ซื้อจะซื้อตราสารทั้งสองประเภทใน Red Lobster ซึ่งรวมถึงกิจการในเครือของกองทุนที่จัดการโดย Golden Gate Private Equity, Inc. (ผู้ขาย) ในราคา 230 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้อนุมัติการลงทุนหน่วยลงทุนบุริมสิทธิที่แปลงสภาพได้จำนวน 1.62 ล้านหน่วย ของ Red Lobster และหุ้นกลุ่ม G ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ RL LLC โดยการเข้าซื้อหุ้นกลุ่ม G ดังกล่าวเทียบได้กับการเข้าลงทุนในหน่วยลงทุนบุริมสิทธิที่แปลงสภาพได้ของ Red Lobster เพิ่มเติมอีกจำนวน 7.8 แสนหน่วย ทั้งนี้ การเข้าซื้อตราสารทั้งสองประเภทดังกล่าว เทียบได้กับการเข้าลงทุนคิดเป็นสัดส่วนที่ปรับลดแล้วเท่ากับ 24% ของหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ Red Lobster ซึ่งผู้ซื้อจะซื้อตราสารทั้งสองประเภทจากผู้ขายในราคา 345 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ การเข้าซื้อตราสารทั้งสองประเภทดังกล่าว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 575 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเมื่อการเข้าทำธุรกรรมดังกล่าวเสร็จสิ้น บริษัทในฐานะผู้ซื้อ จะได้รับสิทธิบางประการในการลงทุนเพิ่มเติมใน Red Lobster และ RL LLC ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยสิทธิดังกล่าวไม่มีลักษณะบังคับให้ผู้ซื้อจำต้องใช้สิทธิลงทุนเพิ่มเติมแต่อย่างใด
ธุรกิจของ Red Lobster ประกอบด้วยการดำเนินธุรกิจเครือข่ายร้านอาหาร Red Lobster และธุรกิจสินค้า อุปโภคบริโภคบรรจุ ภัณฑ์ ที่เกี่ยวกับ Red Lobster รวมถึงการให้สิทธิในการประกอบธุรกิจ (Franchise) ร้านอาหาร Red Lobster โดยในช่วงระยะเวลา 12 เดือนก่อนเดือนส.ค.59 Red Lobster มียอดขายประมาณ 2,479 เหรียญสหรัฐ และมี Adjusted EBITDA ประมาณ 144 เหรียญสหรัฐ
สำหรับแหล่งที่มาของเงินลงทุนครั้งนี้ บริษัทจะเข้าทำสัญญากู้ยืมเงินระยะสั้นกับสถาบันการเงินในประเทศ เป็นจำนวนไม่เกิน 2.01 หมื่นล้านบาท โดยเงินกู้ยืมดังกล่าวมีกำหนดระยะเวลาชำระคืนภายใน 6 เดือนนับจากวันที่เข้าทำสัญญากู้ยืมเงิน โดยจำนวนเงินกู้ยืมที่จะได้รับจากสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวจะเพียงพอต่อการเข้าซื้อตราสารภายใต้ธุรกรรมครั้งนี้
ด้านประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากการลงทุนครั้งนี้ เพื่อเป็นการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ไปสู่ภาคธุรกิจใหม่ ได้แก่ การให้บริการร้านอาหารแบบค้าปลีก ทำให้บริษัทสามารถทำตามกลยุทธ์ซึ่งมุ่งไปสู่การเข้าถึงลูกค้าโดยตรง ,ได้รับประโยชน์จากความนิยมในการรับประทานอาหารนอกบ้านของผู้บริโภค ในสหรัฐ ผ่านการลงทุนในบริษัทที่มีความชำนาญในธุรกิจอาหารทะเลเป็นอันดับหนึ่งของทวีปอเมริกาเหนือ และต่อยอดความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ Red Lobster ซึ่งมีมูลค่ากว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่า EPS จะเพิ่มขึ้นจากอัตรากำไรสุทธิที่อาจได้รับจาก Red Lobster
ขณะที่เมื่อวานนี้ TU , Red Lobster Seafood Co. และ Golden Gate Capital ร่วมแถลงว่า ไทยยูเนี่ยนได้เข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ใน Red Lobster ซึ่งเป็นบริษัทผู้ดำเนินกิจการภัตตาคารอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดย Golden Gate Capital จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และมีอำนาจควบคุมการบริหาร Red Lobster เช่นเดิมต่อไป
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ TU กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้นับได้ว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งในเชิงกลยุทธ์ มุ่งเน้นที่จะเพิ่มช่องทางที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง และจะทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากทีมผู้บริหาร Red Lobster และ Golden Gate ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมร้านอาหารทะเลอย่างครอบคลุมและกว้างขวาง
“การทำงานร่วมกับ Red Lobster อย่างใกล้ชิดมาเป็นระยะเวลามากกว่าสองทศวรรษ และได้สนับสนุนกลยุทธ์ของ Red Lobster ภายใต้การดำเนินงานของ Golden Gate เรามั่นใจว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของไทยยูเนี่ยนจะได้รับประโยชน์จาก Red Lobster ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จด้วยดีตลอดมา”นายธีรพงศ์ กล่าว
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า Red Lobster เป็นแบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย (Iconic Brand) มีตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจร้านอาหารทะเล รวมทั้งมีทีมบริหารที่มีความเชี่ยวชาญระดับโลก นอกจากนั้นยังมีผลการดำเนินงานที่ดีนับตั้งแต่ Golden Gate เข้าซื้อกิจการในปี 57
ด้วยประสบการณ์อันยาวนานถึง 40 ปีของไทยยูเนี่ยน ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายอาหารทะเลชั้นนำระดับโลก บริษัทประสบความสำเร็จในการขยายสายผลิตภัณฑ์ ในปัจจุบันไทยยูเนี่ยนจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลมากมายหลากหลายประเภท ได้แก่ ล็อบสเตอร์ กุ้ง ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ปลาแซลมอน และปู ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลชั้นนำระดับโลกมากมาย เช่น Chicken of the Sea, King Oscar, John West และ Petit Navire นอกจากนั้นยังมีฐานการผลิตมาตรฐานระดับโลกใน 12 ประเทศ ที่เป็นฐานการจัดหาวัตถุดิบ การผลิต และเครือข่ายการจัดจำหน่ายไปทั่วโลก
นายคิม ลอฟดรัฟ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Red Lobster กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยน ถือเป็นหนึ่งในบริษัทอาหารทะเลระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดและมีระบบการบริหารจัดการได้ดีที่สุดอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบในเชิงกลยุทธ์ที่ได้รับความไว้วางใจของ Red Lobster ตลอดระยะเวลามากกว่า 20 ปีที่ผ่านมา
“ความเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดเช่นนี้จะช่วยเร่งให้กลยุทธ์ของ Red Lobster ที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญอาหารทะเลที่ดีที่สุดในทุกพื้นที่การค้าที่เราให้บริการ โดยจัดหาอาหารทะเลที่มีคุณภาพมาสู่โต๊ะอาหาร และมอบประสบการณ์ร้านอาหารทะเลที่ยอดเยี่ยม ในราคาที่ยอมรับได้ให้แก่ลูกค้าของเรา เช่นเดียวกันกับ Golden Gate ไทยยูเนี่ยนได้มีส่วนร่วมในวิสัยทัศน์ของ Red Lobster ในการเป็นสถานที่ที่ผู้คนในโลกนี้จะเดินทางไปเพื่อบริโภคอาหารทะเล ทั้งในปัจจุบันและในรุ่นต่อๆไป’ เช่นเดียวกันกับพันธสัญญาของเราที่จะให้บริการอาหารทะเลที่เยี่ยมยอดแก่ลูกค้านับเป็นล้าน ๆ คน รวมทั้งจัดหาวัตถุดิบอย่างมีจิตสำนึกในความรับผิดชอบ มีคุณธรรม และมีความยั่งยืนต่อไป”
นายจอช โอลแชนสกี้ กรรมการผู้จัดการ Golden Gate Capital กล่าวว่า การลงทุนของ ไทยยูเนี่ยน ในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสที่ดี ที่จะทำให้ Red Lobster สามารถดำเนินกิจการและเพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต