ช่วงเวลาตั้งสติทายท้าวิชามาร
“ขอร้องว่าข่าวลือต่างๆ ที่ออกมาอย่างสนุกสนาน จนเละไปหมด ขอเรียนว่าไม่มีมูลความจริง ขอให้ฟังจากประกาศและแถลงของทางราชการเท่านั้น เพราะเรื่องเหล่านี้มีความละเอียดอ่อน ทางราชการจะประกาศส่งเดชไม่ได้"
ใบตองแห้ง
“ขอร้องว่าข่าวลือต่างๆ ที่ออกมาอย่างสนุกสนาน จนเละไปหมด ขอเรียนว่าไม่มีมูลความจริง ขอให้ฟังจากประกาศและแถลงของทางราชการเท่านั้น เพราะเรื่องเหล่านี้มีความละเอียดอ่อน ทางราชการจะประกาศส่งเดชไม่ได้”
ฟังรองนายกฯ วิษณุ เครืองาม พูดระหว่างชี้แจงขั้นตอนการอัญเชิญองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ แล้วก็อดทึ่งไม่ได้ คนไทยนี่นะ ยิ่งมีเทคโนโลยี มีสื่อสังคมออนไลน์ ยิ่งลือกันได้ลือกันดี
รัฐบาลแถลงชัดเจนทุกอย่าง บทบัญญัติรัฐธรรมนูญก็เห็นๆ อยู่ ข่าวลือยังสะพัด ใจเย็นๆ หน่อยสิครับ รอขั้นตอนหน่อย พระราชพิธีเพิ่งจะเริ่ม ที่วิษณุแถลง ถูกต้องแล้ว ทั้งในแง่กฎหมาย ในแง่ประเพณี เพราะพูดโดยผ่านการกลั่นกรองจากทุกฝ่าย ไม่ใช่ซี้ซั้วแสดงความเห็นส่วนตัว
แน่ละ คนไทยเศร้าโศก ใจหาย สับสน จนลือกันไปส่งเดช แต่ก็ต้องมีสติ มีความเข้าใจ โฆษกไก่อูก็บอกว่าแม้อยู่ในความโศกเศร้า เศรษฐกิจต้องเดินหน้าต่อไป เราจึงเห็นรัฐบาลพยายามบริหารความเหมาะสม ระหว่างการถวายความอาลัย กับการดำเนินชีวิตและธุรกิจ เช่น ตอนแรกจะให้ทีวีทุกช่องงดรายการปกติ 30 วัน ต่อมาก็เปลี่ยนให้ออกอากาศปกติ แต่งดรื่นเริง แม้กระทั่งสถานบันเทิง รัฐบาลก็ให้เปิดได้ แต่ขอให้อยู่ในสถานที่ปิด อย่าออกมาเอิกเกริกนอกร้าน โรงหนัง ร้านอาหาร งานบวช งานแต่ง หรือการจัดแข่งฟุตบอลที่มีโปรแกรมอยู่แล้วก็ทำได้ในรูปแบบที่เหมาะสม
แต่แม้จะไฟเขียว รายการทีวีก็ยังไม่ค่อยมีใครกลับสู่รายการปกติ เว้นแต่เคเบิลทีวีถ่ายทอดฟุตบอล เช่นเดียวกับสถานบันเทิง แหม ใครจะเปิด งานแต่งยังมีบ้างเพราะบางคู่จองโรงแรมไว้แล้วยกเลิกไม่ได้
คือนอกจากเจ้าของกิจการ ผู้ใช้บริการ คำนึงถึงความเหมาะสมด้วยตัวเอง ยังต้องระวังคนแปรความโศกเศร้าเป็นโกรธเกรี้ยว เช่น บางคนโพสต์ fb ว่าถ้าเจอใครยิ้มหัวเราะ จะแจ้งตำรวจจับ นี่ไม่เข้าใจความโศกเศร้าแบบไทยๆ คนไทยแม้เศร้าโศกก็รู้จักเว้นช่วง งานศพพื้นบ้านจึงมีมหรสพ พ่อตายแม่ตายญาติมาเจอกันก็ยังยิ้มแย้มทักทาย
มีรายหนึ่ง โพสต์ภาพชายใส่เสื้อสีมากินข้าว ว่าเป็นคนไทยไม่มีจิตสำนึก ที่ไหนได้ ผู้ชายคนนั้นเพิ่งกลับจากถวายความอาลัยที่สนามหลวง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อไปกินข้าวต้มปากซอย เท่านั้นเอง เกือบซวย
คนปกติก็มีเสื้อขาวเสื้อดำ 3-4 ตัว ในภาวะเสื้อดำขาดตลาด ย่อมมีคนต้องใส่เสื้อสีเดินแถวบ้าน หรือใส่สีเทา น้ำเงินเข้ม น้ำตาล อย่าแยกสีเสื้อ “ดำ-ไม่ดำ” แล้วมองคนแง่ร้ายหมด
ที่ภูเก็ต ที่พังงา ยังหวิดเกิดเหตุร้าย ผู้จงรักภักดีไปล้อมบ้านคนถูกหาว่าโพสต์หมิ่น ตำรวจทหารต้องเข้าไปช่วยป้องกัน ตำรวจชี้แจงว่ายังไม่เข้าข่าย ต้องให้ศาลออกหมาย ฯลฯ ก็ไม่ฟัง คาดคั้นเอาผิดให้ได้
คือถ้าโพสต์หมิ่นจริง ก็ผิด แต่ทำไมตัดสินเอง ไม่ใช้กระบวนการตามกฎหมาย ตำรวจทหารเต็มไปหมด ถ้าผิดจริงมีหรือจะไม่ดำเนินคดี นี่ถ้าเกิดอารมณ์บานปลาย ทำร้าย เก้าอี้ฟาด จะเสื่อมเสียไหม
อธิบดีกรมสุขภาพจิตจึงเตือนว่า คนไทยอยู่ในภาวะเศร้าโศกและเครียด ต้องช่วยกันดูแลสภาพจิตใจ ข้อพึงระวังคือ ไม่ปิดกั้นการแสดงออก แต่อย่าให้ความรู้สึกสิ้นหวังท่วมท้นจนไม่เห็นทางออก ให้แสดงออกอย่างพอดี ไม่ไปกระตุ้นความขัดแย้งและความเห็นต่างในสังคม รวมทั้งไม่หาแพะรับบาป (scapegoat)