พาราสาวะถี อรชุน

ประชาชนยังคงเดินทางหลั่งไหลจากทั่วสารทิศ มาถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างเนืองแน่น และเมื่อค่ำวันจันทร์ที่ผ่านมา บริเวณถนนสนามไชย ด้านหน้ากระทรวงกลาโหม ที่ประตูเทวาพิทักษ์ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จเป็นการส่วนพระองค์ เพื่อออกเยี่ยมประชาชนที่เดินอยู่โดยรอบพระบรมมหาราชวัง


ประชาชนยังคงเดินทางหลั่งไหลจากทั่วสารทิศ มาถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างเนืองแน่น และเมื่อค่ำวันจันทร์ที่ผ่านมา บริเวณถนนสนามไชย ด้านหน้ากระทรวงกลาโหม ที่ประตูเทวาพิทักษ์ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จเป็นการส่วนพระองค์ เพื่อออกเยี่ยมประชาชนที่เดินอยู่โดยรอบพระบรมมหาราชวัง

ทรงมีพระปฏิสันถารกับประชาชนที่มารอรับเสด็จ พร้อมทั้งพระราชทานอาหารและน้ำดื่มให้กับประชาชน สร้างความปลื้มปีติให้กับผู้มารอรับเสด็จอย่างหาที่สุดมิได้ สิ่งที่ทูลกระหม่อมประทานเป็นแนวทางสำหรับประชาชนที่รอรับเสด็จนั้น ถือเป็นแนวทางที่คนไทยทั้งชาติจะต้องนำไปใช้ปฏิบัติ รวมไปถึงเป็นแนวทางของฝ่ายบริหารที่ควรจะต้องนำไปพิจารณา

ทรงให้กำลังใจกับประชาชนว่า “มาร่วมแสดงความเสียใจ เราก็ครอบครัวเดียวกัน เราพวกเดียวกัน พ่อของเรา พ่อของทุกคน เราภูมิใจ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ต่อไปก็จะช่วยกันทำงาน เดินไปข้างหน้า ไม่ใช่เดินไปข้างหลัง ไม่ใช่ถอยหลังเข้าคลอง โอเคขอบใจมาก แล้วเจอกันใหม่” นี่คือหัวใจของการนำพาประเทศฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง การให้กำลังใจและเดินไปด้วยกันคือภาพอันแสดงถึงความเป็นปึกแผ่นของชาติไทยในอดีตที่ผ่านมา

ดูเหมือนว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะเข้าใจดีถึงความสูญเสียของคนไทยในยามนี้ และเห็นแล้วว่า คงไม่มีโอกาสใดจะเหมาะสมต่อการที่จะร้อยใจไทยให้เป็นหนึ่งเดียวได้เท่ากับเวลานี้ สิ่งที่นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.บอกว่า รู้ว่าประเทศต้องการอะไรในเวลานี้ แม้จะมีคนเห็นต่างแต่ก็ควรให้อภัย เพราะถือว่าเป็นเวลาที่ทำด้วยใจและต้องให้ซึ่งกันและกัน

ความจริงแล้วสิ่งนี้ควรจะต้องช่วยกันทำมาตั้งนานแล้ว หากทุกคนยึดประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นสำคัญ เพราะหากย้อนไปพิจารณาพระบรมราโชวาทขององค์เหนือหัวทรงพระราชทานแนวทางและวิธีปฏิบัติไว้อย่างชัดเจน นับตั้งแต่ประเทศไทยเรามีปัญหาความขัดแย้งแตกแยกแล้ว “ความสามัคคีนี้ หมายถึงว่ามีสิ่งใดซึ่งอาจขัดแย้งซึ่งกันและกันบ้าง ก็ต้องปรองดองกันเสียและหาทางออกโดยที่ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะความสามัคคีเป็นกำลังอย่างสูงสุดของหมู่คน”

พระบรมราโชวาททุกพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ล้วนแล้วแต่มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อบ้านเมือง เพียงแต่ว่าผู้ที่มีอำนาจในห้วงเวลานั้นๆ ไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ตาม ได้น้อมนำมาใส่เกล้าใส่กระหม่อมกันหรือไม่ น่าเสียดายที่ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ไม่มีใครได้ฉุกคิดหรือตรึกตรองในการที่จะหาหนทางสร้างความปรองดองเพื่อให้พ่อสบายใจ

ในยามที่ทุกข์โศกกันทั่วหล้าเช่นนี้ บิ๊กตู่ในฐานะผู้นำที่ก่อนหน้านี้ท่าทีก็แข็งกร้าวมาโดยตลอด ก็ต้องใช้จังหวะนี้ในการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดภาพของผู้นำในการสร้างความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ การที่ท่านกล่าวขอบคุณคนไทยทุกคน และรู้ว่าทุกคนเสียใจ โดยตนก็พยายามทำให้ดีที่สุดและก็ต้องมีสติ เพื่อใช้สติปัญญาของตนเดินหน้าไปให้ได้ เพราะประเทศเราหยุดไม่ได้ ถือเป็นเรื่องที่ดี

ไม่เพียงเท่านั้น การบอกว่าสิ่งที่เราจะช่วยได้คือรวมพลังรักสามัคคี ขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตอย่างที่คาดหวัง ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นไปตามแนวทางของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือยูเอ็นเอสซี และบอกว่าอย่ากังวลเรื่องโรดแมปนั้น นาทีนี้คนไทยคงไม่มีใครคิดถึงสิ่งนั้นกันแล้ว

ในภาวะที่ทุกคนเหมือนหัวใจแตกสลาย คงไม่มีใครที่จะไปคิดถึงการเลือกตั้ง คิดถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใดๆ ทุกคนทุกฝ่ายต่างมุ่งมั่นไปที่การทำทุกวิถีทางเพื่อให้พระราชพิธีพระบรมศพเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ จะเห็นได้ว่า นาทีนี้ไม่ว่าใครเสื้อสีใดหรือเคยเป็นอะไรมาก็แล้วแต่ เมื่อไปรวมตัวกันที่ท้องสนามหลวงเพื่อร่วมลงนามแสดงความอาลัยถวายต่อพ่อของแผ่นดินแล้ว ทุกคนไม่แยกพวกแบ่งฝ่าย มีแต่เพียงหัวใจที่ห่อเหี่ยวและมุ่งไปยังจุดหมายเดียวกันคือไว้อาลัยถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

แน่นอนว่าในฐานะผู้นำรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ย่อมจะหยุดการบริหารประเทศไม่ได้ เพียงแต่ว่าในยามที่ประชาชนทุกข์แสนสาหัสเช่นนี้ อะไรที่เป็นการผ่อนคลาย ทำให้ทุกคนทุกฝ่ายได้มองเห็นถึงอนาคตอย่างที่ท่านพูดก็น่าที่จะทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์เลยได้ไหม เช่นการเชิญผู้นำความขัดแย้งของกลุ่มสีเสื้อก่อนหน้านี้มาทำสัตยาบันร่วมกันว่าจะเลิกเคลื่อนไหว เลิกทะเลาะและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

ต้องไม่ลืมว่า ก่อนที่ท่านจะยึดอำนาจก็เคยเชิญคนเหล่านั้นมาคุยแล้วตกลงกันไม่ได้ หรือเจตนาที่จะไม่ให้มันมีข้อยุติอยู่แล้ว จึงนำมาซึ่งการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป ไทยเป็นหนึ่งเดียวหากจะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องการตกลงกันเกี่ยวกับผลประโยชน์ หากแต่เป็นการพูดคุยกันว่าจะสามารถละวางสิ่งที่แต่ละคนแต่ละฝ่ายยึดมั่นถือมั่นได้หรือไม่

การที่ผู้นำแต่ละฝ่ายออกมาประกาศจะทำดีถวายพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ต้องทำให้เห็นไม่ใช่เป็นแค่ลมปาก หากท่านผู้นำยังคงยึดมั่นในสิ่งที่เคยประกาศไว้ตั้งแต่ตอนยึดอำนาจ จะเข้ามาเป็นคนกลางเพื่อขจัดปัดเป่าปัญหาความขัดแย้งทั้งหลายทั้งปวง จะต้องดำเนินการอย่างที่ว่ามาทั้งหมด จะอ้างว่าติดขัดเรื่องหนึ่งเรื่องใดไม่ได้

ในยามนี้สิ่งจะเป็นห้วงเวลาที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จะได้พิสูจน์ความจริงใจของกลุ่มคนที่วนเวียนอยู่ในเส้นทางแห่งอำนาจการบริหารบ้านเมืองว่า มีเจตนาบริสุทธิ์ในการเข้าไปเป็นตัวแทนของประชาชนเพื่อพัฒนาประเทศบ้านเมืองจริงหรือไม่ หรือแค่ใช้วาทกรรมสร้างภาพให้คนหลงเชื่อ ภาวะที่คนไทยสามัคคีและต้องการเห็นการเสียสละตรงนี้นี่แหละที่จะพิสูจน์ได้

ส่วนที่คนในรัฐบาลยังคงกังวลเรื่องการนำเสนอข่าวของสื่อต่างประเทศเกี่ยวกับงานพระบรมศพ เชื่อเถอะว่า สื่อดังว่านั้นเป็นส่วนน้อยของสื่อทั้งโลก หากยึดแนวทางพระราชดำรัสที่ทรงแนะให้เรารู้จักให้อภัยเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเดือดร้อนกับเรื่องบิดเบือนเหล่านั้น เพราะเชื่อว่ายังมีสื่อส่วนมากหรือคนค่อนโลกที่เข้าใจว่าประเทศไทยเรามีโบราณราชพิธีมาตั้งแต่โบราณกาล ซึ่งถือเป็นความงดงาม และนั่นคือปัจจัยที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราเข้มแข็งมาถึงปัจจุบัน

Back to top button