พาราสาวะถี อรชุน
การคิดดีทำดีคือหัวใจสำคัญของคนไทยที่ปวารณาตัวจะเดินตามรอยพ่อ แต่วันนี้ยังมีเหตุการณ์ที่น่าเสียใจกรณีการรุมทำร้ายบุคคลที่คนกลุ่มหนึ่งเห็นว่ามีพฤติกรรมเข้าข่ายละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จะโดยตั้งใจหรือเข้าใจผิดก็ตามแต่ ในยามที่หัวใจไทยทุกดวงโศกสลดไม่ควรจะเกิดภาพอันชวนหดหู่เช่นนี้ เพราะท้ายที่สุดก็เป็นการชี้ให้เห็น ยังมีคนจำนวนไม่น้อยไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อสอน
การคิดดีทำดีคือหัวใจสำคัญของคนไทยที่ปวารณาตัวจะเดินตามรอยพ่อ แต่วันนี้ยังมีเหตุการณ์ที่น่าเสียใจกรณีการรุมทำร้ายบุคคลที่คนกลุ่มหนึ่งเห็นว่ามีพฤติกรรมเข้าข่ายละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จะโดยตั้งใจหรือเข้าใจผิดก็ตามแต่ ในยามที่หัวใจไทยทุกดวงโศกสลดไม่ควรจะเกิดภาพอันชวนหดหู่เช่นนี้ เพราะท้ายที่สุดก็เป็นการชี้ให้เห็น ยังมีคนจำนวนไม่น้อยไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อสอน
ด้วยเหตุนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงให้โฆษกรัฐบาลออกมาปราม ขอให้ทุกคนทุกฝ่ายคำนึงถึงบรรยากาศที่ประเทศกำลังอยู่ในช่วงของการแสดงความอาลัย ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ยังมีจิตใจเศร้าโศกจึงต้องการพลังรักสามัคคี และความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อร่วมกันก้าวผ่านจุดนี้ไปให้ได้ ขอให้ทุกคนระลึกเสมอว่า ต้องไม่ดึงสถาบันลงมาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งเห็นต่าง
บ้านเมืองมีกฎหมายและรัฐบาลจะไม่ละเว้นการบังคับใช้กฎหมายทุกกรณีหากมีการฝ่าฝืน จึงขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้ามาดำเนินการจะเหมาะสมที่สุด เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ภาพแห่งความเป็นจริงคงต้องให้รัฐบาลหันกลับไปมองว่า ต้นตอของการไม่ยอมปล่อยวางและยังไล่ล่าคนที่ไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองอยากให้เป็นนั้นคือพวกไหนกลุ่มใด
ในยามที่บ้านเมืองเผชิญกับภาวะหดหู่เศร้าใจกันทั้งชาติ เวลานี้ยังมีคนอยู่พวกหนึ่งคงเดินหน้าปลุกเร้าสร้างความเกลียดชัง ไม่ยอมปล่อยวางหรือละเว้น พยายามเสี้ยมและปลุกเร้า สร้างกระแสข่าวเพื่อบิดเบือน เอาใจกองเชียร์ของพวกตัวเอง โดยหวังผลบางสิ่งบางประการ หากตรวจสอบกันอย่างจริงจังเชื่อแน่ว่าฝ่ายความมั่นคงต้องรายงานให้หัวหน้าคสช.ได้ทราบว่า มันคนใดพวกใดที่ไม่ยอมฟังคำร้องขอของท่านผู้นำ
ส่วนเรื่องของการเผยแพร่หรือส่งต่อข่าวและภาพอย่างไม่มีวิจารณญาณผ่านโซเชียลมีเดียนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะต้องเอาจริงเอาจังและชี้แจงให้คนส่วนใหญ่เข้าใจกันอย่างกระจ่างชัดว่า เป็นใครและกรณีใดบ้าง เหมือนอย่างกรณีที่ สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลบอกล่าสุด เรื่องข่าวกองพันทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ หรือม.พัน 1 รอ. เตือนการวางระเบิดตามจุดสำคัญต่างๆ
ที่โฆษกรัฐบาลบอกว่าไม่เป็นความจริงนั้น ต้นตอของข่าวลือดังว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร มีใครจงใจหรือไม่ปรารถนาดีต้องการที่จะสร้างความปั่นป่วนในบ้านเมืองในยามที่คนไทยทุกคนได้หันหน้าเข้าหากันเช่นนี้ แน่นอนว่า ถ้าไม่เกิดอาการลูบหน้าปะจมูกกันแล้ว เผลอๆ จะเจอตัวคนหรือกลุ่มคนที่ปล่อยข่าว เป็นพวกหน้าเดิมๆ ที่เคยใช้วิธีการชั่วช้าลักษณะนี้ในการเคลื่อนไหวมาโดยตลอด
เช่นเดียวกันกับกรณีเฟซบุ๊คแฟนเพจพลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall #opsinglegateway ที่ได้ประกาศตัวอย่างผลจากภารกิจ StopWitchHunt และการค้นพบรังที่พักพิงของบุคคลที่ทำให้สังคมไทยมีปัญหาอย่างรุนแรงในขณะนี้ ซึ่งระบุว่า บุคคลที่ยั่วยุให้สังคมแตกแยก ร้าวฉานอย่างหนัก มีพฤติกรรมน่าสงสัยหลายประการ
เช่น เคยเป็นผู้ต้องหาคดีร้ายแรงคือพยายามฆ่า โดยจากการตรวจสอบหมายเลขไอพีของบุคคลดังกล่าว เฟซบุ๊คแฟนเพจ พลเมืองต่อต้าน Single Gateway ระบุว่า เป็นที่ตั้งเดียวกับกองพันสารวัตรที่ 11 กรมสารวัตรทหารบก กองทัพบก จึงได้มีการออกแถลงการณ์ตั้งคำถามถึงกองทัพบกถึงกรณีนี้ ทำไมจึงเกิดข้อสงสัยในลักษณะแบบนี้
หลังปรากฏเป็นข่าว พลตรีฤทธี อินทราวุธ ผู้อำนวยการศูนย์ไซเบอร์กองทัพบกหรือผอ.ศซบ.ทบ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนได้สอบถามผู้บังคับกองพันสารวัตรทหารแล้ว พบว่าไม่เคยปรากฏว่ามีบุคคลภายนอกแอบแฝงเข้ามาพักอาศัยในพื้นที่ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่บุคคลดังกล่าวจะกล้าเข้ามาพื้นที่ทหาร ดังนั้น สรุปว่าข่าวดังกล่าวไม่มีมูลความจริงทั้งด้านตัวบุคคลและการใช้งานในหน่วยทหาร
ก่อนจะอธิบายต่อว่า เรื่องการตรวจสอบไอพีแอดเดรสนั้น บางครั้งทางเทคนิคไม่สามารถยืนยันตำแหน่งผู้ใช้งานไอพีแอดเดรสเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าข่าวดังกล่าวเป็นการสร้างกระแสข่าวและสร้างสถานการณ์ ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นเรื่องลวงโลก เป็นการให้ร้ายทหารและไม่สมควรที่จะกระทำเพื่อให้สังคมแตกแยกในช่วงเวลาที่ประชาชนคนไทยทั้งชาติพร้อมใจกันร่วมแสดงความอาลัยถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
กระบวนการชี้แจงนั้นถือว่าครบถ้วนแล้ว แต่สิ่งที่ตามมากับคำพูดที่บอกว่า ขอให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวเลิกการกระทำ เพราะไม่เหมาะสมและเป็นผลดีต่อใคร หากรู้จะทำอะไร แนะนำให้เอาเวลามาทำความดี ทำหน้าที่จิตอาสาช่วยเหลือประชาชนที่เดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพฯ และแสดงความอาลัยถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ท้องสนามหลวงจะเป็นประโยชน์กว่า
มันกลายเป็นคนละเรื่อง การปกป้ององค์กรทหารถือเป็นสิ่งที่จะต้องทำ แต่การเรียกร้องว่าควรจะใช้เวลาที่ตรวจสอบนั้นไปทำประโยชน์โดยอ้างการแสดงความอาลัยถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชนั้น มันเหมือนเป็นการจงใจเบี่ยงเบนความสนใจมากกว่า หากจะถือว่าเพจดังกล่าวแจ้งเตือนเพื่อไม่ให้มีคนแอบอ้างหน่วยงานทหารไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ก็ถือเป็นการทำความดีอย่างหนึ่งมิใช่หรือ
หากเป็นไปอย่างที่เขามีการบอกจริงว่า ผู้ต้องหาคดีร้ายแรงคือพยายามฆ่าไปใช้เครือข่ายเชื่อมโยงภายในค่ายทหาร ก็ต้องยืนยันว่าไอพีแอดเดรสดังกล่าวนั้นมันไม่ใช่อย่างไร ในทางเทคนิคมันไม่สามารถยืนยันได้อย่างไร ก็ต้องอธิบายให้ชัด ต้องไม่ลืมว่า โลกวันนี้ไม่ได้อยู่ในยุคที่ผู้มีอำนาจหรือถือกฎหมายอยู่ในมือจะเป็นผู้ตรวจสอบแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป
การยกเอาเรื่องการแสดงความอาลัยถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาจุดชนวนเพื่อให้คนในสังคมประณามกลุ่มคนที่ตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลในการใช้โซเชียลมีเดียโจมตีบุคคลหนึ่งบุคคลใดนั้น น่าจะเป็นวิธีการของพวกที่มีอคติและไม่เคยจะละวางการไล่ล่าคนเห็นต่างเสียมากกว่า บุคลากรของภาครัฐโดยเฉพาะคนในกองทัพต้องประพฤติตนเหมือนที่ พันเอกปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคสช.แถลงข่าวไปเมื่อวันก่อน
อย่าทำร้ายคนที่เราคิดว่าไม่รักสถาบันขอแค่แจ้งเบาะแสมา ทางเจ้าหน้าที่จะไปดำเนินการตามกฎหมาย นอกจากนี้ อย่ามองคนที่ไม่ใส่เสื้อสีดำขาวว่าไม่จงรักภักดีเพราะเขาอาจมีเหตุผล ไม่มีเสื้อ ส่วนเรื่องพฤติกรรมให้ดูเป็นรายๆ ไปและควรใช้กฎหมายดำเนินการ อย่าใช้การทำร้ายกัน สิ่งสำคัญมากที่สุดที่ทีมโฆษกคสช.และคณะทำงานของคสช.ต้องเน้นย้ำและตรวจสอบเป็นพิเศษคือ การใช้วาจาหรือวาทกรรมให้ร้ายคนอื่นเป็นการทำร้ายกันที่น่ากลัวที่สุด