พาราสาวะถี
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำรัสเมื่อคราวที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์เมื่อปี 2551 ว่า “เสียใจได้ แต่อย่าละเลยหน้าที่ คนที่อยู่ทางนี้ก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไปให้ได้ กระแสพระราชดำรัสดังกล่าว ยังคงก้องกังวานอยู่ในหัวใจของคนไทยทุกคน”
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำรัสเมื่อคราวที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์เมื่อปี 2551 ว่า “เสียใจได้ แต่อย่าละเลยหน้าที่ คนที่อยู่ทางนี้ก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไปให้ได้ กระแสพระราชดำรัสดังกล่าว ยังคงก้องกังวานอยู่ในหัวใจของคนไทยทุกคน”
ก่อนหน้านั้นเมื่อคราวสมเด็จย่าสิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงตรัสว่า สมเด็จย่าทรงรับสั่งว่า ”ตายแล้วห้ามร้องไห้ เพราะเป็นของธรรมดา” ถ้าจะบอกเป็นคำพูดสามัญก็คือ ทุกคำสอนของพ่อล้วนแล้วแต่ทำให้เราเห็นถึงการเสียสละของพระองค์ ในการที่จะทำให้พสกนิกรของพระองค์ได้มีสติและช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ดูแลประเทศไทยให้มั่นคงสืบไป
ความจริงแล้ว พระราชจริยวัตรที่งดงามและพระกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติมาตลอดรัชสมัย จนเกิดคำถามว่าพระองค์ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยบ้างหรืออย่างไร ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากพระราชปณิธานของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบรมราชชนกของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่เคยทรงมีพระแสรับสั่งว่า ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง
ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นถึงความเสียสละของสมเด็จพระบรมราชชนก สมเด็จย่าและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีต่องานในการดูแลทุกข์สุขของพสกนิกรของพระองค์ ไม่ว่าจะเหนื่อยยากเพียงใดก็ตาม ดังนั้น ในยามที่ทุกคนโศกเศร้าอาดูรเช่นนี้ จึงเริ่มมีคำถามเกิดขึ้นว่า แล้วคนไทยที่ยังคงแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จะได้เวลาหันหน้าเข้าหากัน รู้รักสามัคคีได้แล้วหรือยัง
คงไม่อาจไปกล่าวหาหรือโจมตีใครคนหนึ่งคนใดหรือพวกใดพวกหนึ่งว่า อย่าอ้างความเสียใจหรือจงรักภักดีเพียงแค่ลมปาก แค่อยากจะบอกว่า หากกลุ่มคนที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในห้วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา มีสำนึกว่า เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พ่อไม่สบายใจ บัดนี้น่าจะถึงเวลาที่ต้องสำเหนียกแล้วว่า จะมาร่วมกันสร้างบ้านเมืองให้สงบสุขได้อย่างไร
ความพยายามอธิบายต่อคนทั้งชาติของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เกี่ยวกับการสร้างความสามัคคีของคนในชาตินั้น คงยากที่จะทำให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ หากยังมีบางคนบางพวกยังคงตั้งป้อมและเลือกฝ่ายเขาฝ่ายเรา ไม่จำเป็นต้องไปชี้นิ้วว่าเป็นพวกไหนฝ่ายใด ในฐานะคนที่มีข้อมูลทุกอย่างอยู่ในมือ ย่อมรู้ดีว่าใครและใครยังไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เกิดความสมานฉันท์อย่างแท้จริง
ปรับเปลี่ยนรูปแบบรายการคืนความสุขให้คนในชาติทุกคืนวันศุกร์เป็น “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” โดยบิ๊กตู่ประกาศว่า “จะนำสิ่งที่พระองค์ได้พระราชทานไว้ ทั้งพระราชดำรัส พระราชดำริ และสิ่งที่ทรงทดลอง ทรงทำไว้ แล้วเกิดผลตลอดมาอย่างยั่งยืน แม้พระองค์จะเสด็จสวรรคตแล้ว แต่พระราชดำริคือแนวคิดและปรัชญา พระราชดำรัสจะยังคงอยู่คู่แผ่นดินไทยตลอดไป ทั้งนี้ศาสตร์พระราชาเหล่านั้น สามารถน้อมนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ไปจนถึงการบริหารราชการแผ่นดิน“
เป็นสิ่งที่ทุกคนพร้อมจะให้ความร่วมมือ เพียงแต่ว่าการเดินหน้าของหัวหน้าคสช.นั้น ก่อนหน้านี้เคยมีท่าทีที่แข็งกร้าวและไม่ได้ใส่ใจที่จะรับฟังเสียงสะท้อนของคนที่เห็นต่าง หากน้อมนำศาสตร์ของพระราชามาใช้อย่างแท้จริง จะต้องรู้จักให้อภัย ไม่โกรธง่าย เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงเป็นตัวอย่างให้เห็นในหลายๆ เหตุการณ์
คำพูดของบิ๊กตู่ที่ว่า สื่อวันนี้อย่าเขียนเรื่องการเมืองเพราะวันนี้ไม่มีเรื่องการเมือง เขียนเฉพาะเรื่องที่รัฐบาลได้ทำงาน แนวทางพระราชดำริให้เข้ากับสถานการณ์ อย่าเพิ่งรบกันขอเวลาก่อน ขอทำความสงบหน่อย รัฐมนตรีก็ต้องช่วยกัน อย่าเป็นอื่นอย่าชอบไม่ชอบใคร อย่าเกลียดคนนั้นคนนี้ พอได้แล้ว ถ้าจะเกลียดใครให้เกลียดตัวเอง จะได้ไม่เดือดร้อนคนอื่น
ขอให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะสื่อเองไม่ได้เข้าข้างพวกเดียวกัน แต่ถือเป็นจรรยาบรรณที่ยึดถือปฏิบัติเหมือนๆ กับวิชาชีพอื่น ไม่ว่าจะทหารหรือตำรวจที่ต้องปฏิบัติไปในแนวเดียวกัน นั่นก็คือ สื่อจะต้องเสนอข้อมูลข่าวสารรอบด้านและเป็นจริง ไม่ใช่มุ่งสร้างความเกลียดชัง เว้นแต่สื่อเลือกข้าง ซึ่งตรงนี้ต้องยอมรับความจริงว่า สื่อประเภทนี้มุ่งแต่จะสร้างความขัดแย้ง
เวลานี้มีใครและสื่อไหนบ้าง คงต้องให้บิ๊กตู่ได้ไปสอบถามเอากับทีมมอนิเตอร์ของรัฐบาลและกองทัพ แม้ในยามที่ทุกคนกำลังโศกเศร้าก็เห็นได้ชัดเจนว่า มีบางคนบางสื่อยังมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายของตัวเองคือการให้ร้ายคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด โดยไร้จิตสำนึกที่ดี สื่อกลุ่มนี้ชัดเจนว่าประกาศจุดยืนของตัวเองว่าเป็นพวกเดียวกันกับผู้มีอำนาจ
หากจะจัดระเบียบจริงสิ่งแรกที่หัวหน้าคสช.จะต้องทำคือ ดำเนินการกับพวกอ้างว่าเป็นคนกันเองให้เป็นที่ประจักษ์เสียก่อน มิเช่นนั้น ทุกคำพูดที่เอ่ยออกมาก็หนีไม่พ้นลูบหน้าปะจมูก คงไม่ต้องบอกว่าเป็นใคร ความจริงอีกประการที่ท่านผู้นำคงสัมผัสได้หลังจากเข้ามาบริหารประเทศอย่างเต็มตัวนั่นก็คือ การเกลียดตำรวจของประชาชน
บนเวทีการประชุมสัมมนาและมอบนโยบายในการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปีงบประมาณ 2561 ที่อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ท่านบอกว่าอยากให้ประชาชนรักตำรวจเท่ากับที่รักทหาร ซึ่งเข้าใจได้ว่า เป็นเพราะตำรวจต้องถือกฎหมายและเข้าไปจัดการกับผู้กระทำผิดในลักษณะต่างๆ จึงทำให้ประชาชนผู้ถูกดำเนินคดีไม่พอใจและจุดกระแสความเกลียดชังที่มีต่อคนในเครื่องแบบสีกากี
เมื่อมาพ.ศ.นี้สิ่งที่บิ๊กตู่รับรู้ได้คือ เมื่อทหารแปรสภาพจากผู้ที่คอยปกป้อง ดูแลประชาชน มาเป็นผู้ถือกฎหมายเสียเอง (ในหลายๆ เรื่อง) และต้องเข้าไปกระทบกับสิทธิ เสรีภาพของประชาชน คงจะสัมผัสถึงอารมณ์ ความรู้สึกที่ตำรวจได้รับเป็นอย่างดี นี่แหละคือความเป็นจริง ยิ่งใช้อำนาจแม้จะอ้างว่าเป็นกฎหมายมากเท่าไหร่ และเป็นกฎหมายที่ถูกมองว่าไม่เป็นธรรมด้วยแล้ว สิ่งที่จะได้รับกลับมาคือความเกลียดชัง มันอาจไม่มีอานุภาพที่จะทำร้ายทำลายใครได้ แต่หากมันมีจำนวนมากพอมันก็ทำให้ผู้มีอำนาจสั่นคลอนได้เหมือนกัน