ตามรอยในหลวง ณ โลซาน
ในขณะที่คนไทยในประเทศ ต่างแสดงออกซึ่งความรู้สึกจงรักภักดีต่อในหลวง เนื่องในโอกาสครองราชย์ 60 ปีอย่างปีติยินดียิ่ง
ขี่พายุ ทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์
ในขณะที่คนไทยในประเทศ ต่างแสดงออกซึ่งความรู้สึกจงรักภักดีต่อในหลวง เนื่องในโอกาสครองราชย์ 60 ปีอย่างปีติยินดียิ่ง
ผมและคณะสื่อมวลชนจาก 26 สำนักข่าว ก็ได้มีโอกาสรับคำเชิญจากบริษัท โฮลซิม ซึ่งเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง และคุณพีรพงษ์ ตติยะเกษม ที่ปรึกษาโฮลซิม ไปเดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ณ ประเทศสมาพันธรัฐสวิส
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงประทับในสวิตเซอร์แลนด์นานถึง17 ปี ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์หลังทรงขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ยังเสด็จฯกลับไปศึกษาต่อจนจบมหาวิทยาลัยโลซาน
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จย่า ทรงเป็นแม่ผู้เป็นเบ้าหลอมอย่างดีแก่พระราชโอรสและพระราชธิดา
ทรงเป็นทั้งแม่และพ่อในพระองค์เดียวกัน เพราะพระบรมราชชนกเสด็จสวรรคตตั้งแต่ในหลวง ร.9 ทรงพระชนมพรรษาไม่ถึง 2 พรรษาดี (พระบรมราชชนกสวรรคตปี 2472)
สถานที่ประทับในสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งมีสมเด็จย่าเป็นผู้นำครอบครัว ไม่ได้เป็นที่ประทับใหญ่โตอลังการอะไรเป็นอพาร์ตเมนต์ บ้านเช่าทั้งหมด แม้เมื่อยุวกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว
สถานที่ประทับสำคัญก็ได้แก่ แฟลตเลขที่ 16 ถนนทิสโซ่ต์ขณะในหลวง ร.9 และในหลวง ร.8 เรียนที่สถานรับเลี้ยงเด็ก “ซอง โซเลย์”
เดี๋ยวนี้แฟลตเลขที่ 16 ก็ยังอยู่ แม้เวลาล่วงเลยมาถึง 73 ปีแล้ว วันที่คณะของพวกเราไปถึงยังมีแหม่มแก่ๆ เดินตัวเอียงแล้ว และอาศัยเช่าอยู่แฟลตนี้ตั้งแต่เด็กยันแก่ บอกเล่าให้พวกเราฟังว่า เธอเคยรู้มาเหมือนกันว่า มีครอบครัวราชวงศ์จากเมืองไทยมาประทับอยู่ ณ ที่นี้
แต่นิสัยคนสวิสโดยทั่วไป จะไม่สอดรู้สอดเห็น อยากรู้อยากเห็นเรื่องราวของเพื่อนบ้านมากนัก ก็เลยไม่ได้ไปสอบถามเพิ่มเติมอะไรมาก แต่เธอก็รู้สึกดีใจที่รู้ว่า แฟลตที่เธออยู่นี้ มีราชวงศ์ไทยเคยมาอยู่ และก็มิได้อยู่แบบแตกต่างอะไรกับคนระดับเธอเลย
พวกเราโชคดีเป็นบ้า!
ระหว่างเยี่ยมชมแฟลตเลขที่ 16 อีกเหมือนกันก็มีโอกาสโดยบังเอิญได้เจอคุณฟิลลิปส์ เป็นเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ เคยมาทำงานอยู่เมืองไทย 4 ปี เขามาชี้ยืนยันว่า ที่นี่แหละ คือ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 เคยเสด็จฯประทับ
ความรู้สึกต่อในหลวงของเราเขาบอกว่า พระองค์คิดดี พูดดี และทำดี ทรงทำงานตลอดเวลา ไม่เหมือนกษัตริย์โดยทั่วไป
ฟิลลิปส์รู้จักในหลวงของเรา และเขาจะสนใจติดตามข่าวที่มาจากเมืองไทยตลอดเวลา
คณะของพวกเราส่วนหนึ่งยังมีโอกาสได้พบโดยบังเอิญกับมหาเศรษฐีชื่อดังของสวิส
ชื่อ“จ๊าค ปิการ์“ซึ่งเคยร่วมโรงเรียนมัธยมเดียวกับในหลวงโดยเป็นรุ่นพี่ 5 ปี เขาบอกว่าขอฝากความระลึกถึงมายังในหลวงในโอกาสครองราชย์ 60 ปีด้วยความเคารพนับถืออย่างยิ่ง
ครอบครัวปิการ์ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวสวิสว่า ทำอะไรก็ต้องสุดยอดทั้งนั้น ปิการ์ผู้พ่อของเขาทำบัลลูนที่ลอยสูงสุดในโลกส่วนปิการ์ตัวเขาทำเรือดำน้ำที่ดำได้ลึกที่สุดในโลก และปิการ์ผู้ลูกเขา สร้างบัลลูนบินรอบโลก
พวกเราได้มีโอกาสไปที่ตลาดนัดที่ถนนเซนต์ฟรองซัวร์ซึ่งสมเด็จย่าทรงไปจ่ายตลาดเป็นประจำ และร้านเสวยน้ำชาประจำที่นี่ของสมเด็จย่า บางครั้งพระราชโอรสองค์น้อยคือ ในหลวง ร.9 ก็มักจะมาเดินช่วยถือของให้สมเด็จแม่กลับบ้านด้วย
เป็นตลาดที่เปิดเฉพาะวันพุธและวันเสาร์เพียงแค่ครึ่งวันเดี๋ยวนี้ก็ยังดำรงจารีตดั้งเดิมอยู่ และร้านน้ำชาที่หัวมุมถนนเซนต์ ฟรองซัวร์ ก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม
เป็นประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง พวกเราไปที่หุบเขาเวเว่ย์ ซึ่งสมเด็จย่ามักจะไปเก็บดอกนาซิซัส เป็นดอกไม้ป่า หอมตลบอบอวลคล้ายดอกปีบหรือดอกพิกุลมาปักเป็นแจกันภายในบ้านที่ตำหนักวิลล่า วัฒนา บรรยากาศที่หุบเขาเวเว่ย์ยากจะบรรยายทั้งสวยงามและอากาศสดชื่น ภาพในหนัง “เดอะ ซาวด์ ออฟ มิวสิค” ยังไง ก็อย่างงั้น
ตำหนักวิลล่าวัฒนาซึ่งเป็นบ้านเช่า 3 ชั้น ซึ่งสมเด็จย่าและครอบครัวย้ายไปประทับภายหลังในหลวง ร.8 ทรงขึ้นครองราชย์ก็น่าเสียดายที่เดี๋ยวนี้เจ้าของที่ดินได้ทุบหลังเดิมมาทำเป็นอพาร์ตเมนต์ใหม่ไปแล้ว
ชีวิตในเยาว์วัยและวัยหนุ่มที่สวิตเซอร์แลนด์ของในหลวง ร.9 แม้ภายหลังทรงครองราชย์แล้วเป็นชีวิตที่ติดดิน มิได้อยู่แบบหรูหราให้ผิดแผกแตกต่างจากชาวสวิสโดยทั่วไป
พวกเราไปเยือนสถานที่ประวัติศาสตร์คราวใด ตั้งแต่แฟลตทรงประทับ โรงเรียนประถม มัธยมยันมหาวิทยาลัยโลซาน ซึ่งเก่าแก่กว่า 700 ปี ก็รู้สึกปลาบปลื้มแบบปีติ จนน้ำตาเอ่อล้นขอบตาแทบทั้งนั้น
พระองค์ทรงใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนณต่างแดน เพื่อจะมาเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ยิ่งใหญ่ของปวงชนชาวไทยในวันนี้
…
นี่คือข้อเขียนเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2549 ของผมที่ผ่านมาแล้วกว่า 10 ปี จึงขอนำบันทึกครั้งนั้นมาเผยแพร่อีกครั้ง
ด้วยรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้