พาราสาวะถี อรชุน

สำนักพระราชวังแจ้งเปลี่ยนเส้นทางเข้าถวายสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันนี้ (1พฤศจิกายน) เป็นต้นไป จากเดิมที่กำหนดให้ขบวนพสกนิกรที่เริ่มตั้งแถวตั้งแถวถนนหน้าพระธาตุเพื่อเข้ามาทางประตูวิเศษไชยศรี ผ่านประตูพิมานไชยศรี จากนั้นเลี้ยวขวาไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท


สำนักพระราชวังแจ้งเปลี่ยนเส้นทางเข้าถวายสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันนี้ (1พฤศจิกายน) เป็นต้นไป จากเดิมที่กำหนดให้ขบวนพสกนิกรที่เริ่มตั้งแถวตั้งแถวถนนหน้าพระธาตุเพื่อเข้ามาทางประตูวิเศษไชยศรี ผ่านประตูพิมานไชยศรี จากนั้นเลี้ยวขวาไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

เส้นทางใหม่ ให้ขบวนพสกนิกรซึ่งเดินจากท้องสนามหลวงเข้าในพระบรมมหาราชวังทางประตูมณีนพรัตน์ เลี้ยวขวาก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าประตูวิหารยอด เข้าสู่ตัววัดพระศรีรัตนศาสดารามฝั่งทิศเหนือ แล้วเลี้ยวซ้ายเดินตามทางพระระเบียงคดวนรอบพระระเบียงคดไปทางประตูสนาม ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเข้าสู่ถนนอมรวิถี บริเวณด้านหน้าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหยสูรยพิมาน เดินตรงผ่านพระหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เข้าสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สถานที่ประดิษฐานพระบรมศพ

ส่วนที่มีคำถามว่า ทำไมถึงเลือกให้พสกนิกรเดินรอบพระระเบียงคด ที่มีภาพจิตรกรรมโบราณ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเสียหายได้ ทางเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังชี้แจงว่า ที่เลือกให้เดินรอบพระระเบียงคด เพราะพสกนิกรจะได้อาศัยชายหลังคาหลบแดดและฝนได้ ส่วนข้อกังวลว่าอาจทำให้ภาพจิตรกรรมโบราณเสียหายได้นั้น ทางสำนักพระราชวังได้ตั้งที่กั้นห่างจากภาพจิตรกรรมโบราณไว้ระดับหนึ่งแล้ว

สำหรับสาเหตุที่มีการเปลี่ยนเส้นทางใหม่นั้น เป็นเพราะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำนักพระราชวังจะเปิดขายบัตรเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ระหว่างเวลา 08.00 -15.30 น. หลังจากหยุดการจำหน่ายบัตรเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามมาตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยสำหรับนักท่องเที่ยวจะเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทางประตูวิเศษไชยศรีตามปกติ การเปลี่ยนเส้นทางนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคเพราะพสกนิกรก็ยังคงหลั่งไหลไปแสดงความอาลัยเนืองแน่นเหมือนเดิม

เรื่องของเหตุบ้านการเมืองคงหนีไม่พ้นปมราคาข้าวตกต่ำที่ขอพูดต่อเนื่องอีก 1 วัน อย่างที่รู้กันชาวนาต่างออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ โดยชี้ให้เห็นว่าสาเหตุที่ราคาตกต่ำนั้นเป็นเพราะถูกกดราคาซึ่งคงไม่ต้องบอกว่าเป็นใครพวกไหน ด้วยเหตุนี้ สิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีตส.ว.อุทัยธานี จึงออกมาแสดงมาตรการช่วยเหลือชาวนาอย่างตรงไปตรงมาและน่าจะตรงจุดที่สุด

เป็นวิธีการที่ทำได้แบบรวดเร็วและทันที โดยสิงห์ชัยบอกว่า ขอกราบแทบเท้าท่านพ่อค้าข้าวชาวไทย ขอท่านช่วยชาวนา ช่วยคสช.และช่วยชาติ โดยการรับซื้อข้าวในราคาที่เป็นจริงตามตลาดโลก จ่ายให้ชาวนาก่อน 50 เปอร์เซ็นต์ เพื่อชาวนาจะได้นำเงินไปใช้จ่ายเบื้องต้น แล้วมีข้อตกลงโดยรัฐเป็นสักขีพยานสนับสนุนอำนวยความสะดวกในทุกมิติ

เมื่อท่านนำไปขายได้ในราคาจริงอย่างเปิดเผย ได้เท่าไรตามราคาที่ขายได้จริง แล้วนำเงินที่ได้มาจ่ายให้ชาวนาในส่วนที่เหลือค้างอยู่ โดยพ่อค้าขอเพียงค่าบริการ หยุดหากำไร ทำข้อตกลงตามจริงโดยท่านไม่ต้องควักเนื้อ ขอสัก 1-2 ปี จนกว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง วิธีที่เสนอมันอาจดูตลกมาก แต่วิธีนี้ก็ไม่ได้ชักเนื้อท่านไม่ให้ท่านต้องนำเงินของท่านมาบริจาคหรือทำบุญ เพียงท่านหยุดเอากำไรชั่วคราว

ตลอดระยะเวลาที่ตนจำความได้ ไม่ว่าข้าวถูก ข้าวแพง พวกท่านรวยทั้งขึ้นทั้งล่อง รวยมากด้วย แต่ชาวนายังจนเหมือนเดิม ขอท่านร่วมกันทำเพื่อชาติ เมื่อชาวนาทุกข์เข็ญพวกท่านช่วยดึงชาวนาขึ้นมาให้ไปด้วยกัน เอาให้เขาแค่มีชีวิต มีผืนนา ดำรงอยู่ได้ อย่างน้อยในช่วงที่บ้านเมืองอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่าน ในฐานะคนที่เคยผ่านการเลือกของประชาชน คงไม่ใช่ข้อเสนอไก่กา แต่เป็นการมองผ่านความเป็นจริงของคนที่หากินจากส่วนต่างอันเนื่องมาจากการกดหัวชาวนานั่นเอง

นั่นเป็นข้อเสนอที่ผ่านไปยังภาคเอกชนอันหมายถึงพ่อค้าข้าว แต่ในแง่ของรัฐบาล บทความของ นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ ล่าสุดเรื่องผลงานชิ้นเอกที่น่าละอาย น่าจะช่วยอธิบายหนทางที่ควรจะเป็นของการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรได้ดีที่สุด โดยอดีตรัฐมนตรีไอซีทีชี้ว่าเรื่องการอุดหนุนรายได้ให้กับเกษตรกร ภายใต้ระบอบทุนนิยมเกษตรกรถือว่าอยู่ด้านล่างของห่วงโซ่เศรษฐกิจ ดังนั้น การช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจึงเป็นแนวทางและหลักการที่นานาอารยประเทศดำเนินการกันเป็นเรื่องปกติทั้งสิ้น

ทั้งนี้ เพราะหากเกษตรกรมีรายได้ที่เหมาะสม สามารถลืมตาอ้าปากได้ตามอัตภาพ การจับจ่ายใช้สอยอย่างคล่องตัวของคนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ด้านล่างของห่วงโซ่เหล่านี้ ย่อมเป็นกำลังหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนวงล้อเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของประเทศให้วิ่งไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง ทุกคนสามารถเดินหน้าร่วมกันได้อย่างปลอดภัย

แต่การบริหารงานด้านเศรษฐกิจที่ผ่านมาของรัฐบาลคสช. อนุดิษฐ์มั่นใจว่าผู้มีอำนาจในปัจจุบันอาจมีความเข้าใจเรื่อง Capitalism หรือระบอบทุนนิยมที่ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ได้อธิบายเอาไว้ข้างต้น ความไม่เข้าใจดังกล่าวนำมาซึ่งการยกเลิกการช่วยเหลือต่างๆ แก่คนระดับล่าง โดยเฉพาะเกษตรกร ดังนั้น สภาพที่เกิดอยู่ในปัจจุบันคือ ทุนเก่าและทุนใหญ่เป็นทุนกลุ่มเดียวที่ยังรอดชีวิตอยู่ ในขณะที่ทุนเล็กและรายย่อยทยอยล้มหายตายจากไปมากขึ้นเรื่อยๆ

สภาพแบบนี้แหละที่กูรูทางเศรษฐกิจกลัวมากที่สุด เพราะเศรษฐกิจอยู่ในสภาวะถดถอย การจะแก้ให้กลับมาเดินหน้าได้เหมือนเดิมต้องใช้เวลานาน และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นได้อีกครั้ง นอกจากนั้น การบังคับใช้กฎหมายพิเศษต่างๆ เป็นว่าเล่น ก็กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำลายความน่าเชื่อถือเรื่องการเงินการลงทุนอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งนี้หากทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ไม่มัวแต่หวงเก้าอี้และประจบผู้มีอำนาจจนเกินไป น่าจะมองเห็นปัญหาและหายนะที่รออยู่เบื้องหน้า

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อดีตรัฐมนตรีไอซีทียุคยิ่งลักษณ์ตั้งข้อสังเกตอีกประการ ซึ่งน่าจะสอดรับกับข้อกังขาของใครต่อหลายคนก่อนหน้าก็คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำไมยอมทิ้งความเป็นผู้นำของท่านไปอย่างหน้าตาเฉยด้วยการไม่เซ็นคำสั่งเรียกค่าเสียหายจากอดีตนายกฯหญิงเอง เรื่องนี้ไม่มีใครรู้จริง มีแต่ผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าที่บิ๊กตู่ไม่กล้าเซ็นเอง เพราะรู้ดีว่าถ้าขืนเซ็นไป นอกจากจะถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการละเมิดแล้ว ยังจะถูกร้องขอให้รัฐบาลในอนาคตออกคำสั่งเรียกค่าชดใช้ความเสียหายจากทุกโครงการที่ใช้งบประมาณแผ่นดินในการดำเนินนโยบายสาธารณะได้เช่นเดียวกัน

แต่ก็อีกนั่นแหละ เมื่อยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ แต่เชื่อว่าใครที่อยู่เบื้องหลังการดำเนินการครั้งนี้ย่อมพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าสิ่งนี้กระทำได้หรือไม่ แต่เมื่อตัดสินใจกระทำลงไปแล้ว ไม่ว่าใครจะเป็นคนเซ็นหรือใครเป็นคนบงการก็ตาม สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นผลงานสำคัญ เพียงแต่จะเป็นผลงานชิ้นเอกหรือผลงานที่น่าละอาย อนาคต (อันใกล้)เท่านั้นจะเป็นผู้ตัดสิน

 

 

Back to top button