พาราสาวะถี
เพราะเกลียดจำนำข้าว จะไปเอาประกันราคามันก็เกรงจะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกเดียวกับประชาธิปัตย์ วันนี้เราจึงได้เห็นวิธีการที่ยุ่งยากซับซ้อนของรัฐบาลคสช.ในการช่วยเหลือชาวนา สรุปว่าจะมีการช่วยเหลือพยุงราคาสำหรับผู้ปลูกข้าวหอมมะลิที่ตันละ 13,000 บาท มันพิสดารพันลึกขนาดไหน ต้องฟังคำอธิบายจาก อภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
เพราะเกลียดจำนำข้าว จะไปเอาประกันราคามันก็เกรงจะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกเดียวกับประชาธิปัตย์ วันนี้เราจึงได้เห็นวิธีการที่ยุ่งยากซับซ้อนของรัฐบาลคสช.ในการช่วยเหลือชาวนา สรุปว่าจะมีการช่วยเหลือพยุงราคาสำหรับผู้ปลูกข้าวหอมมะลิที่ตันละ 13,000 บาท มันพิสดารพันลึกขนาดไหน ต้องฟังคำอธิบายจาก อภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
จากการประเมินราคาเฉลี่ยข้าวหอมมะลิตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 11,000 บาทต่อตัน ซึ่งโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2559/60 กำหนดให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือธ.ก.ส.รับจำนำยุ้งฉางราคา 9,700 บาทต่อตันหรือร้อยละ 90 จากราคาตลาด ทั้งนี้หากราคาตลาดสูงขึ้นจะพิจารณาปรับแผนราคาให้เป็นไปตามตลาด
โดยมีมาตรการเพิ่มเติมคือ การช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวหอมมะลิปีการผลิต 2559/60 โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวหอมมะลิในอัตรา 2,000 บาทต่อตันหรือไร่ละ 800 บาท รายละไม่เกิน 15 ไร่
เมื่อรวมค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกตันละ 1,500 บาท โดยจ่ายเป็นค่าเตรียมข้าวเปลือกรับได้ในวันเบิกรับเงินกู้ 1,000 บาทและส่วนที่เหลืออีก 500 บาทรับในวันที่ไถ่ถอนข้าวเปลือกจากโครงการ (ไม่น้อยกว่า 30 วัน) รวมทั้งสิ้นเกษตรกรจะได้รับเงิน 13,000 บาทต่อตัน สำหรับเกษตรกรที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการจำนำยุ้งฉางสามารถนำข้าวไปขายในตลาดได้ โดยจะได้รับเงินค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวในอัตรา 2,000 บาทต่อตันเช่นเดียวกับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจำนำยุ้งฉาง
ทั้งหมดนั้น ธ.ก.ส.จะโอนเงินเข้าบัญชีให้กับเกษตรกรระยะเวลาโครงการ 1 พฤศจิกายน 2559 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2560 เป้าหมายเกษตรกรจำนวน 2 ล้านราย นี่แหละคือลักษณะของการเลี่ยงบาลีของพวกเกลียดปลาไหลแต่ซดน้ำแกง แต่ที่รอเหงือกแห้งแต่ไม่มีทางเลือกคงต้องยอมรับมาตรการเฉพาะหน้านี้ไปก่อนย่อมหนีไม่พ้นกระดูกสันหลังของชาติ
ต้องแนะนำให้ผู้มีอำนาจไปดูข้อเสนอของ อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เบื้องต้นมองการใช้เม็ดเงินในโครงการจำนำยุ้งฉาง 2.4 หมื่นล้านบาทโดยจำนำตันละไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาทนั้นจะช่วยบรรเทาปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำและความเดือดร้อนของชาวนาได้ระดับหนึ่งเท่านั้น
แนะนำให้ใช้วิธีการแทรกแซงราคาโดยตรงด้วยการรับจำนำข้าวหรือประกันราคาจะมีประสิทธิภาพมากกว่า รัฐบาลควรมีมาตรการสนับสนุนชาวนาจัดตั้งบริษัทหรือสหกรณ์เพื่อการเกษตรในการเพิ่มอำนาจต่อรองในโครงสร้างตลาดและโครงสร้างการผลิต เพราะขณะนี้ ข้าวเปลือกราคาตกต่ำ ราคาข้าวสารที่บริโภคและราคาข้าวส่งออกไม่ได้ปรับตัวลดลงมากนัก ส่วนต่างตรงนี้ไม่ตกถึงมือคนส่วนใหญ่
โครงสร้างตลาดไม่มีการแข่งขันดีนัก มีอำนาจผูกขาดของกลุ่มทุนธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ แต่รัฐบาลไม่ควรเข้าไปผูกขาดตลาดเองเพราะจะสร้างปัญหาไม่ต่างกันหรืออาจจะแย่กว่า จึงขอให้รัฐบาลศึกษาหามาตรการในการปรับโครงสร้างส่วนนี้ให้ดีขึ้นก็จะทำให้แก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณและภาระทางการคลัง
มาตรการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรและการรับจำนำข้าวเป็นเครื่องมือหนึ่งในการลดความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ เป็นวิธีการแก้ปัญหาราคาตกต่ำของราคาสินค้าเกษตรและราคาข้าวได้รวดเร็วที่สุด ต้องยอมรับภาระทางการคลังหรือการเกิดหนี้เนื่องจากการแทรกแซงหากเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและประชาชน เม็ดเงินที่ใช้ไปไม่ใช่ความเสียหายต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการที่ต้องจ่าย
นโยบายจำนำข้าวหรือประกันราคา เป็นนโยบายที่ควรนำกลับมาใช้ชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าขณะนี้ ซึ่งดีกว่าใช้วิธีแจกเงินให้เกษตรกรต่อไร่หรือจำนำยุ้งฉาง นโยบายรับจำนำข้าวย่อมดีกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่าการแก้ปัญหาด้วยการแจกเงินต่อไร่ให้เกษตรกรหรือจำนำยุ้งฉาง การรับจำนำรัฐบาลยังมีสต๊อกข้าว
อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นนักวิชาการที่ต้องรักษาภาพของความเป็นกลาง อนุสรณ์ จึงเสนอแนะต่อว่าแผนการรับจำนำครั้งใหม่ต้องทบทวนจุดอ่อนในอดีต เช่น ไม่รับจำนำในราคาสูงเกินราคาตลาดมากเกินไป ไม่รับจำนำทุกเมล็ด แยกรับจำนำข้าวในราคาตามระดับคุณภาพ ตรวจสอบขั้นตอนการรับจำนำให้โปร่งใสและลดการรั่วไหลทุจริต เป็นต้น
นอกจากนี้ ตัวเลขที่น่าสนใจของนโยบายรับจำนำข้าวที่ผ่านมา ทำให้ชาวนายากจนจำนวนไม่ต่ำกว่า 3.45 แสนราย ได้รับเงินจำนำข้าวเฉลี่ยรายละ 94,579 บาท และชาวนาระดับกลางและรายได้สูงไม่ต่ำกว่า 2.69 แสนราย ได้รับเงินจำนำข้าวเฉลี่ยรายละ 405,937 บาท นอกจากนี้ ยังทำให้ชาวนาบางรายที่มีที่ดินขนาดนา 100 ไร่ขึ้นไปมีรายได้ปีละ 2-3 ล้านบาท หรือชาวนาที่มีที่ดินขนาดใหญ่จะได้รายได้เฉลี่ย 4-6.6 แสนบาทต่อปี ระดับรายได้แบบนี้ทำให้ภาคเกษตรกรรมไทยเติบโตและขยายตัวได้อย่างมั่นคงต่อไป
แต่ดูเหมือนว่าข้อเสนอของอนุสรณ์น่าจะสูญเปล่า เหตุเพราะผู้มีอำนาจจะไปทำในสิ่งที่จะใช้เล่นงานอดีตรัฐบาลได้อย่างไร ขณะเดียวกันเวลานี้จะเห็นภาพของพวกลูกอีช่างเสี้ยมได้เป็นอย่างดี โดยจะมีคนทั้งที่อยู่ในองคาพยพแม่น้ำ 5 สายและในพรรคการเมืองบางพรรค ออกมาให้ข่าวในลักษณะที่ว่า ปัญหาราคาข้าวตกต่ำเป็นการปลุกกระแสของบางพรรคการเมืองเพื่อเล่นงานรัฐบาล
หากมีความเชื่อกันด้วยการถือธงนำในลักษณะนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับชาวนาไทยก็คงต้องปล่อยให้ใช้กลวิธีตามที่ท่านผู้นำและชาวคณะเห็นว่าสมควร แต่ไม่ว่าจะจับใส่ตะกร้าล้างน้ำกันอย่างไร คงเหมือนอย่างที่ พิชัย นริพทะพันธุ์ ว่าไว้ โครงการจำนำยุ้งฉางของรัฐบาลคสช.เป็นหลักการเดียวกับโครงการรับจำนำข้าว ดังนั้นรัฐบาลจะสองมาตรฐานไม่ได้ จะบอกอันนี้ทำได้ไม่เสียหายแล้วอีกอันทำไม่ได้เพราะเกิดความเสียหาย อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่คนอื่นทำผิดแต่ตัวเองทำไม่ผิด