SET ไปต่อ เลือกสอย 10 หุ้นเทรนด์ดีโพลชี้ “คลินตัน” มาวินเลือกตั้งสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับขึ้นต่อ โดยได้แรงหนุนจากปัจจัยบวกต่อการเลือกตั้งในสหรัฐ และมีโอกาสที่ดัชนีจะทดสอบแนวต้าน 1,520 จุดอีกครั้ง การลงทุนยังคงเน้นกลุ่มที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 ดีเป็นหลัก
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.22 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 34.95 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยได้แรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ที่ว่านางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต มีแนวโน้มที่จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง หลังสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) ยืนยันว่าไม่พบหลักฐานใหม่ที่จะทำให้มีการดำเนินคดีอาญาต่อนางฮิลลารี
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับขึ้นต่อ โดยได้แรงหนุนจากปัจจัยบวกต่อการเลือกตั้งในสหรัฐ และมีโอกาสที่ดัชนีจะทดสอบแนวต้าน 1,520 จุดอีกครั้ง การลงทุนยังคงเน้นกลุ่มที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 ดีเป็นหลัก หุ้นเด่นเลือก CBG-BCH-BEAUTY-EA-KKP-BJC-CPALL-IRPC-TOP และ ESSO
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (8 พ.ย.) ว่า การปรับสูงขึ้นของตลาดหุ้น Dow Jones 2.08% เนื่องจากโพล์ชี้ คลินตันมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง หลัง FBI สรุปผลสืบสวนไม่มีความผิดอาญากรณีใช้ email ส่วนตัว รวมไปถึงราคาน้ำมันดิบ Brent +1.3% จะเป็นปัจจัยหนุน SET ปรับสูงขึ้นต่อวันนี้ ด้วยแนวต้าน 1,515-1,520 จุด ขณะที่รายงาน Pathumwan Corner : “The Revision” เริ่มเห็น Consensus ปรับประมาณการกำไรหุ้นหลายๆ กลุ่มขึ้นอีกครั้ง ได้แก่กลุ่มธนาคารขนาดกลาง-เล็ก, โรงกลั่น, สายการบิน และค้าปลีก อย่าง BAY KKP KTB TISCO IRPC TOP AAV BEAUTY สูงขึ้น
แนะนำ “ซื้อ” กลุ่มหุ้นที่ Consensus ปรับประมาณการกำไร และเป้าหมายพื้นฐานขึ้น คาดว่าจะ Outperform ตลาด ได้แก่
1) Consensus ปรับกำไร และพื้นฐานขึ้น : “ซื้อ” BEAUTY EA (โรงไฟฟ้าพลังงานลม เริ่มผลิตไฟฟ้าปลายปีนี้) KKP (ปันผล 5.2-5.8%) รวมไปถึง BJC (ลุ้นถูกเพิ่มใน MSCI) CPALL
2) โรงกลั่น+ปิโตรฯ : “ซื้อ” IRPC (Laggard Plays ในกลุ่มโรงกลั่น) และ “เก็งกำไร” TOP ESSO ล่าสุดค่าการกลั่นทรงตัวระดับสูง US$8-9/bbl
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (8 พ.ย.) คาด SET จะยังเคลื่อนไหวผันผวนและมีโอกาสปรับขึ้นต่อจากเมื่อวาน เนื่องจากตลาดยังได้ Sentiment เชิงบวกจากข่าวที่ FBI ไม่สั่งฟ้องคดีอาญา ต่อนางฮิลลารี คลินตันจากการใช้อีเมลล์ส่วนตัวในการส่งข้อมูลราชการในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ทำให้โอกาสที่ นาง คลินตัน จะชนะการเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐมีมากขึ้น นับเป็นปัจจัยบวกกับตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นบ้านเรา
อย่างไรก็ตาม ด้วยดัชนีที่ปรับตัวขึ้นแรงทำให้นักลงทุนบางส่วนอาจจะขายทำกำไรหรือขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงก่อนจะรู้ผลเลือกตั้งของสหรัฐจริงในวันพรุ่งนี้ตามเวลาในบ้านเรา อาจจะกดดันให้ดัชนีในช่วงท้ายตลาดปรับตัวลดลง โดยวันนี้หุ้นในกลุ่ม Big Cap อาทิ พลังงาน ธนาคาร และ สื่อสาร ยังมีโอกาสขึ้นต่อและเป็นกลุ่มนำตลาดโดยเฉพาะกลุ่มพลังงานที่ได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบกลับมาปิดบวกเป็นวันแรกในรอบกว่า 7 วันทำการ กลุ่มถ่านหินราคาถ่านหินกลับมาฟื้นตัว
ขณะที่หุ้นขนาดกลางถึงเล็กจะมีแรงเก็งกำไรผลประกอบการที่จะทยอยประกาศงบไตรมาส 3/59 กันออกมามากขึ้นโดยกลุ่มที่ผลประกอบการเติบโตดี อาทิ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (CPF, GFPT, CBG) กลุ่มโรงพยาบาล (BDMS, LPH, BCH) และหุ้นรายตัวอื่นๆอาทิ BEAUTY, TACC, TKN, TWPC ส่วนกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้คือกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง(CK+BEM,STEC+BTS+RATCH) มีโอกาสชนะประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพูมูลค่าประมาณ 100,000 ล้านบาท หลังจากมีผู้เข้าประมูลเพียง 2 กลุ่มทำให้แนวโน้มการแข่งจะไม่รุนแรงและมีโอกาสที่จะได้งานกลุ่มละ 1 เส้นทาง ส่วนกลุ่มยางพารา (STA และ TRUBB) รับอานิสงส์ราคายางพารากลับสู่เทรนด์ขาขึ้น
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy
หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น : CBG (ซื้อ/เป้า 85.00) คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/59 โต 6% จากไตรมาสก่อน และ 39% จากไตรมาสเดียวันในปีก่อน, BCH (ซื้อ/เป้า 15.50) คาดกำไรไตรมาส โต 45% จากไตรมาสเดียวันในปีก่อน เป็น 208 ล้านบาท สูงที่สุดตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการ WMC ในปี 2012
บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (8 พ.ย.) ว่า จากประเด็น FBI ไม่เอาผิดนางฮิลลารี ส่งผลให้นักลงทุนมั่นใจว่านางฮิลลารีจะชนะเลือกตั้งและส่งผลบวกต่อตลาดเงินตลาดทุนมากกว่าทรัมป์ที่มีนโยบายต่อต้านระบบการค้าเสรี วันนี้ติดตาม ครม. อนุมัติงบรับจำนำยุ้งฉางข้าววงเงิน 1.8 หมื่น ลบ. ซึ่งน่าจะช่วยให้กำลังซื้อของเกษตรกรไม่ลดลงมากนักในช่วงไตรมาส 4 นี้
กลยุทธ์การลงทุน กรณีฮิลลารีชนะคาดดัชนี SET มีโอกาสปรับขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,520 จุดอีกครั้ง ส่วนหากทรัมป์ชนะดัชนี SET อาจจะปรับฐานลงสู่ระดับ 1,480 จุด เนื่องจากไทยได้รับผลกระทบน้อยจากแนวนโยบายของทรัมป์