PTTGC คาดปี 60 รายได้โต 22% จาก 3.2 แสนลบ.ปีนี้-GRM ดีขึ้น

PTTGC คาดปี 60 รายได้โต 22% จาก 3.2 แสนลบ.ปีนี้-GRM ดีขึ้น


นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี ผู้จัดการฝ่ายหน่วยงานการเงินองค์กร และนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC  บริษัทฯคาดรายได้ปี 60 น่าจะเติบโตราว 22% จากปีนี้คาดทำได้ 3.2 แสนล้านบาท ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนที่อยู่ที่ 4.10 แสนล้านบาท โดยมองราคาน้ำมันดิบดูไบในปีหน้าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 45-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งธุรกิจโรงกลั่นจะไม่มีการหยุดซ่อมบำรุง หรือจะมีการใช้กำลังการผลิต 100%

ทั้งนี้คาดการณ์มาร์จิ้นของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในปี 60 จะมีค่าการกลั่น (GRM) อยู่ที่ 5.4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากคาด 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีนี้ และส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์ HDPE กับวัตถุดิบอีเทน จะสูงขึ้นจากราว 750 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในปีนี้ ตามราคาผลิตภัณฑ์ HDPE ที่คาดว่าจะสูงขึ้น ขณะเดียวกันปริมาณการใช้น่าจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับซัพพลาย หลังจากจีนลดการส่งออกลง

นอกจากนี้การใช้กำลังการผลิตของโรงงานอะโรเมติกส์ในปีหน้า คาดว่าจะมีการใช้กำลังการผลิตดังกล่าวเพิ่มขึ้น 183 เหรียญสหรัญ/ตัน จากปีนี้คาด 179 เหรียญสหรัญ/ตัน แม้จะมีการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานอะโรเมติกส์ดังกล่าวเป็นเวลา 45 วันในช่วงกลางปี 60 ส่วนการใช้กำลังการผลิตของโรงงานโอเลฟินส์จะอยู่ที่ระดับ 93% จาก 90% ในปีนี้ เนื่องจากจะมีหยุดซ่อมบำรุงบางช่วง ซึ่งน้อยกว่าปีนี้ที่หยุดซ่อมบำรุงทั้งในแผนและนอกแผน ขณะที่การใช้กำลังการผลิตของวัตถุดิบอีเทน ในปีหน้าคาดจะเพิ่มขึ้นมาที่ 270 ตัน/ชั่วโมง จากปีนี้ 240 ตัน/ชั่วโมง

สำหรับโครงการลงทุนตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ แบ่งเป็น โครงการมาบตาพุด เรโทรฟิต (MTP Retrofit) ล่าสุดคาดจะได้รับข้อเสนอจากผู้รับเหมาก่อสร้างในช่วงไตรมาส 4/59 ซึ่งบริษัทฯจะดำเนินการเปรียบเทียบราคาของผู้รับเหมาที่ได้เสนอมาทั้งหมด คาดว่าจะมีการตัดสินใจลงทุนและทราบมูลค่าการลงทุนได้ในช่วงไตรมาส 1/60 โดยหากเป็นไปตามแผนการดำเนินงาน  บริษัทฯน่าจะเดินเครื่องการผลิตได้ในปี 63 ซึ่งจะส่งผลทำให้กำลังการผลิตของ Ethylene อยู่ที่ 5 แสนตัน และ Propylene อยู่ที่ 2.61 แสนตัน

โครงการ MAX (Project MAX) ซึ่งบริษัทฯได้ดำเนินโครงการ MAX ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้สามารถเพิ่ม Productivity และผลกำไรสูงขึ้น จากการปรับปรุงกระบวนการทำงาน การพัฒนาศักยภาพ และการเสริมสร้างสุขภาพองค์กรและการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในบริษัท คาดว่าจะได้รับผลกำไรในช่วงไตรมาส 4/59 ราว 12 ล้านเหรียญฯ และในปี 60 ราว 90 ล้านเหรียญฯ ตลอดจนปี 62 จะได้รับผลกำไรเพิ่มขึ้น 190 ล้านเหรียญฯ

นายทิติพงษ์ กล่าวว่า บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาปรับโครงสร้างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเคมีทั้งหมด ของกลุ่ม บมจ.ปตท (PTT) ในการควบรวมบริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อให้เข้ามาอยู่ในการบริหารของบริษัทฯ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจเกิดความแข็งแกร่งขึ้น และยังสามารถต่อยอดผลิตภัณฑ์ในอนาคต หรือเพิ่มโอกาสการลงทุนในอนาคต แต่อย่างไรก็ตามการดำเนินการดังกล่าวจะต้องมีขั้นตอนการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นด้วย

ส่วนโครงการ PO/Polyols ซึ่งเป็นการลงทุนโพลียูรีเทนครบวงจร โดยทั้ง 2 โครงการอยู่ระหว่างการสรรหาผู้รับเหมา คาดว่าจะได้ข้อสรุปทั้งมูลค่าการลงทุนของโครงการ และพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมลงทุน ได้ในช่วงไตรมาส 2/60 ซึ่งน่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 63 ขณะที่โครงการ US Petrochemical Complex ซึ่งเป็นโครงการผลิตโพลีเอทิลีนชนิดความหนาแน่นสูง (HDPE) และ โมโนเอทิลีน ไกลคอล (Monoethylene Glycol) หรือ MEG ที่จะดำเนินการผลิตที่ประเทศสหรัฐฯ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรอยู่หลายราย แต่ก็ยังรอดูความชัดเจนของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯอีกครั้งหนึ่ง ว่าจะส่งผลอย่างไรต่อบริษัทฯ

Back to top button