ข่าวดี คั่นเวลาพลวัต 2016

มีข่าวดี 2 ข่าวเมื่อวานนี้ ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยดูดี แม้ว่าต่างชาติจะไม่สนใจข่าวดังกล่าวเพราะยังไงก็ขายสุทธิเพื่อกลับไปถือดอลลาร์


วิษณุ โชลิตกุล

 

มีข่าวดี 2 ข่าวเมื่อวานนี้ ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยดูดี แม้ว่าต่างชาติจะไม่สนใจข่าวดังกล่าวเพราะยังไงก็ขายสุทธิเพื่อกลับไปถือดอลลาร์

ข่าวดีทั้ง 2 รายการประกอบด้วย

MSCI  มีการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของตลาดหุ้นไทยเพิ่ม 0.07% จากระดับ 2.2% เพิ่มขึ้นเป็น 2.27% และได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB มากที่สุดในกลุ่มบิ๊กแคป

สภาพัฒน์รายงานอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย หรือ GDPโดยไตรมาสที่ 3/2559 ขยายตัว 3.2% จากระยะเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ขยายตัว 3.3% จากระยะเดียวกันปีก่อน

งบไตรมาส 3/59 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นของไทย กวาดกำไร 2.08 แสนล้านบาท โต 251% รับปัจจัยบวกจากต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงตามทิศทางราคาน้ำมัน รวมถึงการไม่มีผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และผลกระทบการด้อยค่าสินทรัพย์ ด้าน mai มีกำไร 1,954 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% ถือว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งของตลาดหุ้นทั่วโลก

ทั้งสามข่าวนี้ ถือเป็นข่าวที่ดีทั้งสิ้น และมีผลให้ดัชนีตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน และอื่นๆ ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าจะเผชิญกับแรงขายของต่างชาติที่ต่อเนื่อง จากกรณีดอลลาร์แข็งตัว

ปฏิกิริยาของข่าวดี มีรายละเอียดที่นักลงทุนต่างให้ความสนใจแตกต่างกันออกไป เช่น ในกรณีของดัชนี MSCI ปรากฏว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นเพียงรายเดียวที่ถูกปรับเพิ่มเป้ากำไรสุทธิในปีนี้ หลังจากผลประกอบการในช่วง 9 เดือนเติบโต ทั้งจากพัฒนาการบวกต่อเนื่องของธุรกิจและผลการดำเนินงานที่ทยอยกลับมาโดยการบริหารที่มีประสิทธิภาพ คุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้น

ปัจจัยคงค้างและคาดว่าจะทำให้ธนาคารไทยพาณิชย์ได้รับผลดีสุดอยู่ที่การปรับโครงสร้างหนี้ของ SSI คืนกลับเป็นหนี้ปกติภายในเดือนธันวาคม จะช่วยบรรเทาภาระการตั้งสำรองหนี้ฯ ปี 2560 ไปได้มาก เลือกเป็น top pick ในกลุ่มแบงก์ใหญ่ โดยมีราคาเป้าหมาย 175 บาท 

ในกรณีของตัวเลข GDP นั้น ถือว่าน่ายินดีแม้จะมีข่าวร้ายแทรกปนเข้ามาเพราะการหดตัวของการผลิตอุตสาหกรรมที่สัมพันธ์กับการลงทุนภาคเอกชนที่ 9 เดือนแรกของปีนี้หดตัวลง 0.5% จากระยะเดียวกันปีก่อน จากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัว 0.2% โดยเป็นการหดตัวทั้งในส่วนของการลงทุนด้านการก่อสร้างและการลงทุนในเครื่องจักรเครื่องมือ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลต่างๆ เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ Nikkei’s PMI ที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งชี้ถึงการไม่ขยายตัวของการลงทุนในประเทศ

                ข่าวดีของสภาพัฒน์ฯ จึงเป็นข่าวดีที่มีเงื่อนไข ไม่ใช่ข่าวดีจริง เพราะดังที่ทราบกันดีว่า ในไตรมาสสี่นั้น กรณีของรายได้จากทัวร์จีนหดหายไปอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบไปทั่ว และยังมีกิจกรรมทางธุรกิจโดยรวมที่หดตัวลงในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ที่จะทำให้ตัวเลขดัชนีย่ำแย่ลงเกินคาด

ตัวเลขที่โดดเด่นกลับเป็นตัวเลขที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความสดใสอย่างแรงมาก ไม่ต้องหวั่นกลัวว่าต่างชาติจะถอนตัวไปอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าตัวเลขผลตอบแทนในรูปกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนที่ดีระดับหัวแถว ทำให้ค่าพี/อีของตลาดหุ้นไทยลดลงฮวบฮาบ กลายเป็นตลาดหุ้นที่ ”ราคาถูกเกิน” ไปเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน แม้กระทั่งญี่ปุ่นที่ยามนี้เป็นตลาด ”กระทิง” ชั่วคราวไปแล้ว

ข้อมูลจาก ดร.สันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการตลาดฯ เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนไทยใน SET จำนวน 527 บริษัท หรือคิดเป็น 93.27% จากทั้งหมด 565 บริษัท รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (PF & REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) (ที่ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG) มีกำไรขั้นต้น 590,659 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.50% ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 208,998 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 251.68% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน แม้ว่ายอดขายรวม 2,495,729 ล้านบาท ลดลง 2.27% ซึ่งเป็นผลจากหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์

ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน บริษัทจดทะเบียนที่ยกมา มีกำไรสุทธิ 681,389 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.94% และมียอดขายรวม 7,367,911 ล้านบาท ลดลง 4.41% จากงวดเดียวกันในปีก่อน

สำหรับความสามารถการทำกำไร ได้มีการปรับสูงขึ้น โดยอัตรากำไรขั้นต้นไตรมาสสาม อยู่ที่ 23.67% และงวด 9 เดือน มีอัตรากำไรขั้นต้น 25.36% ขณะที่โครงสร้างเงินทุน พบว่า อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) ณ สิ้นไตรมาส 3/2559 อยู่ที่ 1.22 เท่า ลดลงเล็กน้อยจาก 1.23 เท่า ในช่วงสิ้นปี 2558

หากคิดตามรายกลุ่ม พบว่า 9 หมวดธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานเติบโตดี คือ มียอดขาย กำไรสุทธิ และอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น ได้แก่ หมวดธนาคาร พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อาหารและเครื่องดื่ม เหล็ก แฟชั่น บรรจุภัณฑ์ ของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน บริการเฉพาะกิจ และกระดาษและวัสดุการพิมพ์

ข้อมูลดังกล่าว ช่วยทำให้สามารถสรุปได้ว่า โดยพื้นฐานแล้ว บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยยังคงแข็งแกร่ง แต่ความแข็งแกร่งดังกล่าว จะสัมพันธ์ในทางบวกกับราคาหุ้นบนกระดานซื้อขายมากน้อยแค่ไหน เป็นรายละเอียดที่ไม่จำเป็นต้องสอดรับกันเสมอไป เป็นการบ้านที่นักลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจในการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง และสร้างโอกาส

ตลาดหุ้นไทยดีเยี่ยม แต่เศรษฐกิจย่ำแย่ คงจะไม่ใช่ความผิดของตลาดหุ้นเป็นแน่

ส่วนข่าวดีนี้ จะเป็นแค่ข่าวดีคั่นเวลา หรือ ข่าวดียั่งยืน ยังต้องการเวลาพิสูจน์

Back to top button