“SEAFCO”สดใสรับยุคทองงานฐานรากชี้กำไรปี 60 โตเด่น 5 กูรูประสานเสียงซื้อ

“SEAFCO”สดใสรับยุคทองงานฐานรากชี้กำไรปี 60 โตเด่น 5 กูรูประสานเสียงซื้อ


หากจะมองหาหุ้นรับเหมาก่อสร้างเวลานี้ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ  SEAFCO น่าจะเป็นตัวเต็งของกลุ่มที่น่าจับตารายหนึ่งก็ว่าได้ เพราะด้วยความชำนาญงานเสาเข็มเจาะ งานฐานราก และงานโยธาทั่วไป ทำให้บริษัทได้รับงานทั้งจากภาคราชการและภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันเวลานี้มีปัจจัยบวกโครงการลงทุนระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานภาครัฐ ที่คาดว่าจะมีออกมาจำนวนมากในปีหน้า ตรงนี้ก็น่าจะเป็นแรงหนุนให้ธุรกิจ SEAFCO โดดเด่น และถือเป็นยุคทองงานฐานรากก็ว่าได้

โดยเห็นได้จากบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ 5 แห่งชั้นนำของไทยต่างประสานเสียงแนะซื้อหุ้น SEAFCO เนื่องจากมองว่ากำไรจะดีขึ้นในไตรมาส 4/59 และปี 60 จากมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากจากโครงการลงทุนระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานของภาครัฐ อีกทั้งยังมีอัพไซด์งานรถไฟทางคู่ ซึ่งอาจหนุนมาร์จิ้นดีกว่าคาด

ขณะเดียวกันงานประมูลโครงการขนาดใหญ่ที่เด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ จะช่วยหนุนความต้องการผู้รับเหมางานฐานรากได้อย่างดีในช่วงปี 60-63 พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนในการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเกิดโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้า และด้วยโอกาสในการชนะงานประมูลที่สูงกว่า 30% พร้อมอัตรากำไรในระดับที่ดี

โบรกเกอร์   คำแนะนำ       ราคาปิด ณ 6 ธ.ค.59 ราคาเป้าหมาย อัพไซด์
บาท
บัวหลวง  ซื้อ      10.80           13.50   25.00
ทิสโก้         ซื้อ      10.80           13.40   24.07
ทรีนีตี้  ซื้อ      10.80           13.00   20.37
เออีซี  ซื้อ      10.80           12.50   15.74
ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ  ซื้อ      10.80           12.16   12.59

 

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนะ”ซื้อ”ราคาพื้นฐาน 12.16 บาท โดยมองบวกต่อการที่บริษัท ซีฟโก้ เมียนมาร์ จำกัด ซึ่ง SEAFCO ถือหุ้นอยู่ 80% ได้งานเสาเข็มเจาะและกำแพงกันดินของโรงแรม Regalia ในเมียนมา มูลค่า 55 ล้านบาท แม้มูลค่างานสุทธิที่ได้รับตามสัดส่วนการถือหุ้นนั้นจะอยู่ที่ 44 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนน้อย เมื่อเทียบกับมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่มีประมาณ 1 พันล้านบาท แต่ถือว่าเป็นนิมิตรหมายอันดี และมีโอกาสได้รับงานจากประเทศนี้อีกมาก เพราะมีศักยภาพในการเติบโตสูง 

โดยงานในเมียนมาดังกล่าว นับเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่ง SEAFCO ตั้งเป้าหมายว่าในอนาคตสัดส่วนรายได้จากเมียนมาจะเป็น 10% ของรายได้รวม เพื่อกระจายความเสี่ยงที่จะพึ่งพิงแต่งานในประเทศอย่างเดียว

ทั้งนี้ คาดว่าปีผลการดำเนินงานในปี 60 จะสดใสขึ้น จากการมีโอกาสได้งานโครงการรถไฟฟ้าจากพันธมิตรคือ บมจ.ช.การช่าง (CK) โดยมองกำไรหลักของ SEAFCO จะกลับมาเติบโต 45% เป็น 218 ล้านบาท จากปี 59 ที่เพิ่มขึ้นเพียง 3% เป็น 150 ล้านบาท เนื่องจากช่วงไตรมาส 3/59  มีอุปสรรคจากงานทางลอดพรานนก ที่มีต้นทุนสูงผิดปกติ และการเริ่มงานรถไฟทางคู่ จิระ-ขอนแก่นประสบปัญหาฝนตก แต่ปัจจุบันเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว

 

บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนะ”ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 13.50 บาท โดยมองราคาหุ้น SEAFCO ยังคงมีปัจจัยหนุนให้ไปต่อได้ จากกำไรที่จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากอ่อนแอในช่วงไตรมาส 3/59 เป็นผลจากโครงการทางลอดพรานนก ซึ่งเป็นโครงการที่จบไปแล้ว แต่คาดกำไรปี 60 จะเติบโตสูง 45% เป็น 217 ล้านบาท หลังได้รับอานิสงส์จากงานรถไฟฟ้า 3 สาย ซึ่งจะช่วยให้มีงานมากพอสำหรับรายได้ทั้งปี ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการเปิดซองฯ ซึ่งคาดกลางเดือนธ.ค.จะรู้ผลผู้ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง และต้นปีหน้ารู้ผลสายสีส้ม คาดจะเห็นผู้รับเหมาหลักส่งงานต่อให้ผู้รับเหมารากฐานอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปีหน้า นอกจากนี้ช่วงไตรมาส 1/60 ยังมีการเปิดประมูลงานรถไฟทางคู่อีก 5 สาย ซึ่งคาดว่างานที่ออกมาเป็นจำนวนมากจะช่วยให้มาร์จิ้นเพิ่มขึ้นตามการแข่งขันที่ลดลงด้วย

ทั้งนี้ ยังคงมั่นใจว่าปีหน้าจะมีงานรากฐานออกมาเป็นจำนวนมากราว 3-7 พันล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้มีงานมากพอสำหรับรายได้ทั้งปี มาจากรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 30.4 กิโลเมตร) วงเงิน 5.5 หมื่นล้านบาท,สายสีชมพู (ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กิโลเมตร) วงเงิน 5.7 หมื่นล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอ คาดจะได้ผู้ชนะการประมูลในเดือน ธ.ค.นี้ ตามนโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งนับเร็วกว่าแผนงาน 1 เดือน และสายสีส้ม (ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี ระยะทาง 21 กิโลเมตร) ขณะนี้ได้เปิดซองข้อเสนอด้านคุณสมบัติและข้อเสนอด้านเทคนิคแล้ว คาดจะเปิดซองข้อเสนอด้านราคาในช่วงเดือน ก.พ.60 และคาดว่าจะลงนามได้เดือน เม.ย.60

นอกจากนี้ SEAFCO ยังมีอัพไซด์จากมาร์จิ้นที่มีโอกาสดีกว่าคาดจากงานที่ออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีโครงการรถไฟทางคู่อีก 5 เส้นทาง ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย จะเปิดขายเอกสารประมูลในวันที่ 13-20 ธ.ค.นี้ กำหนดยื่นข้อเสนอเทคนิคในเดือนม.ค.60 คาดว่าจะลงนามสัญญาได้ในวันที่ 21 มี.ค.60 ได้แก่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร วงเงิน 2.9 หมื่นล้านบาท,ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กิโลเมตร วงเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท,ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กิโลเมตร วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท,ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กิโลเมตร วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท และช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 90 กิโลเมตร วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท

ส่วนในไตรมาส 4/59 คาดกำไรหลักของ SEAFCO จะเติบโตสูงจากฐานต่ำทั้งเมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน และในไตรมาสก่อน เป็นประมาณ 40-45 ล้านบาท เพราะงานใน backlog ที่เหลืออยู่คาดจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่กลับเป็นปกติเพราะมีสัดส่วนงานเฉพาะค่าแรงที่มาร์จิ้นสูงอยู่เป็นจำนวนมาก  

 

บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนะ”ซื้อ”ให้ราคาพื้นฐาน ที่ 12.50 บาท เนื่องจากเป็นผู้นำเสาเข็มเจาะในไทยที่มีศักยภาพรับงานและส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในไทย ขณะที่คาดในปี 60-61 กำไรจะพลิกโตโดดเด่นเฉลี่ยปีละ 37.8% หลังเข้าสู่ปีทองของงานฐานราก จากแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐตาม Action Plan ซึ่งหากประเมินงานฐานราก (เฉพาะค่าแรงซึ่งมีมาร์จิ้นสูง) จากโครงการที่คาดทราบผลประมูลต้นปีหน้า จะมีมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท และยังมีงานฐานรากอีกกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท จากโครงการที่ค้างอยู่ใน Action Plan ซึ่งคาดจะประมูลได้ในระยะถัดไป

ขณะเดียวกันยังมีงานก่อสร้างอาคารคอนโดมิเนียม ของภาคเอกชนที่จะเกิดขึ้นตามแนวส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ จากปัจจุบันที่มีระยะทางรวม 124 กิโลเมตร เป็น 209 กิโลเมตรในช่วง 4 ปีข้างหน้า

สำหรับราคาหุ้น SEAFCO ปิดตลาดวานนี้ (6 ธ.ค.) อยู่ที่ 10.80 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 0.93% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 7.12 ล้านบาท   

Back to top button