เป้าหมายเหนือ 1,550 จุดพลวัต 2016
เมื่อวันศุกร์ ดัชนีตลาดหุ้นไทยถูกแรงขายภาคบ่าย ทำร่วงลงไปเกือบหลุดแนวรับสำคัญ 1,500 จุด แต่ก็ประคองตัวเหนือจุดดังกล่าวได้ ก่อนหยุดยาว 3 วัน แต่ปัจจัยแวดล้อมทำให้มีความชัดเจนเมื่อเปิดตลาดเช้าวานนี้
วิษณุ โชลิตกุล
เมื่อวันศุกร์ ดัชนีตลาดหุ้นไทยถูกแรงขายภาคบ่าย ทำร่วงลงไปเกือบหลุดแนวรับสำคัญ 1,500 จุด แต่ก็ประคองตัวเหนือจุดดังกล่าวได้ ก่อนหยุดยาว 3 วัน แต่ปัจจัยแวดล้อมทำให้มีความชัดเจนเมื่อเปิดตลาดเช้าวานนี้
สถานการณ์พลิกผัน ทำให้มุมมองเชิงลบที่เกิดขึ้นในบรรดานักวิเคราะห์จำนวนมากที่พากันคาดเดาว่า ต่างชาติจะยังคงถอนเงินกลับออกไปจากตลาดหุ้นไทย เพื่อไปถือดอลลาร์ที่นับวันจะแข็งค่า ไม่สามารถอธิบายสภาพตลาดได้อีกต่อไป เพราะดัชนีตลาดกลับมาเปิดในแดนบวกตั้งแต่เปิดตลาด และท้ายตลาดแรงซื้อกลับเข้ามา แม้มูลค่าซื้อขายเบาบางกว่าระดับเฉลี่ยประจำวันตามปกติ ทำให้ดัชนีทะยานขึ้นไปปิดที่ระดับ 1,516.48 จุด บวกไป 14.82จุด สัญญาณเทคนิคสวยมาขึ้นทันที
คำถามว่า จากนี้ไปดัชนีตลาดหุ้นไทยจะสามารถทะยานขึ้นไปปิดในวันท้ายปีที่เหนือระดับ 1,550 จุดได้หรือไม่ ยังเป็นปริศนาที่ท้าทาย
หากมองย้อนหลังกลับไป วันที่ 30 ธันวาคม ปี 2558 ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปิดที่ระดับ 1,244.18 จุด ท่ามกลางมรสุมรุมเร้าทั่วด้านทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก่อนที่จะเปิดมาในต้นเดือนมกราคม ด้วยการที่ดัชนีตลาดถูกถล่มลงไปรุนแรงเพราะสถานการณ์ในจีนและญี่ปุ่น รวมทั้งราคาน้ำมันที่ตกรุนแรง แต่ความเลวร้ายถึงที่สุดก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะดัชนีสามารถข้ามจุดต่ำสุดขึ้นมาได้ และขึ้นมาต่อเนื่องจนกลายเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนสูงสุดของเอเชีย ในช่วงครึ่งแรกของปี แม้ว่าในช่วงเวลานั้นจะมีการไหลออกของทุนต่างชาติต่อเนื่อง
ภาวะ ”เศรษฐกิจแย่ ตลาดหุ้นดี” ที่ลักลั่น มีผลทำให้ทุนต่างชาติหันกลับเข้ามาในปลายเดือนสิงหาคมต่อเนื่องถึงต้นเดือนตุลาคม มากกว่า 2 แสนล้านบาท จนกระทั่งทำให้ตัวเลขขายสุทธิของต่างชาติในตลาดหุ้นไทย กลายเป็นซื้อสุทธิมากถึง 1.4 แสนล้านบาท
การกลับมาของต่างชาติ หรือฟันด์โฟลว์ไหลเข้าที่รุนแรงดังกล่าว เกิดจากข้อเท็จจริงว่าด้วยการทำ ดอลลาร์ แครี่ เทรด จากการที่ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐต่ำติดพื้นยาวนานกว่าปกติ ผลลัพธ์คือ ดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับคืนมายืนเหนือ 1,550 จุดได้ระยะสั้นๆ ก่อนที่จะถูกสถานการณ์ในเดือนตุลาคมที่เปราะบางทางอารมณ์ของตลาด ทำให้ดัชนีร่วงลงมาเกือบหลุด 1,400 จุด แต่ก็สามารถรีบาวด์กลับไปปกติได้ในช่วงเวลาสั้นมาก จนล่าสุด แม้จะมีเรื่องของฟันด์โฟลว์ไหลออกมากกว่า 5 หมื่นล้านบาทในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา แต่ดัชนีตลาดก็ยังสามารถประคองตัวและดันกลับมายืนเหนือ 1,500 จุดได้อีกครั้ง สะท้อนความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นไทย
แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะเลวร้าย แต่ข้อเท็จจริงจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนล่าสุดในไตรมาสสามของปีนี้ ที่มีกำไรมากกว่า 2.1 แสนล้านบาท หรือประมาณ 250% ของระยะเดียวกันปีก่อน สะท้อนได้ดีว่า บริษัท “หัวกะทิ” ของไทยในตลาดหุ้น สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทั้งบวกและลบของภาวะรอบด้านได้ดีเกินคาด
ผลของการเปลี่ยนรัชกาลที่ราบรื่นมากเกินคาด และพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง เป็นปัจจัยโดดเด่นที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ตลาดทุนของไทยยังมีเสน่ห์น่าลงทุนต่อไป และอาจจะยิ่งมีเสน่ห์โดยเปรียบเทียบมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป ทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นจำนวนมากจะยังคงเป็นขาขึ้น แม้ว่าจะมีความอ่อนไหวเปราะบางในหลายจุดให้ต้องปรับปรุงก็ตาม
ช่วงนี้ กองทุนหลายแห่งปรับมุมมองของตลาดหุ้นไทยไว้น่าสนใจมาก เพราะผู้จัดการพอร์ตฟอลิโอ Nikko Asset Management Asia (กองทุน NIKKO) ระบุว่า ยังให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นไทยเป็น “Overwieght” แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะยังชะลอตัว แต่บริษัทจดทะเบียนไทยยังมีความสามารถในการทำกำไรมากกว่าจีดีพีประเทศเป็นเท่าตัว เนื่องจากส่วนใหญ่กระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศค่อนข้างมาก ในขณะที่ผู้บริหารของ MSCI Inc. เอเชีย ระบุว่า แม้ช่วงนี้จะปรับลดน้ำหนักการลงทุนของไทยเป็น “Underweight” แต่เป็นการปรับลดมุมมองระยะสั้นเท่านั้น เพราะศักยภาพพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนไทยยังแข็งแกร่ง เหมาะสำหรับลงทุนระยะยาว และหากเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวได้ตามคาดการณ์ปีหน้า จากการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ
การกลับเข้ามาซื้อของต่างชาติทั้งในตลาดหุ้น และตราสารอนุพันธ์เมื่อวานนี้เป็นวันแรก แม้จะมีมูลค่าสุทธิต่ำมาก แต่ก็มีความหมายที่คล้ายคลึงกับปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพราะเริ่มต้นด้วยจังหวะที่ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าซื้อขายที่หดตัวลงต่ำว่าระดับ 4.0 หมื่นล้านบาท และกำลังผันผวนไร้ทิศทาง หลังจากวิกฤตตลาดในช่วงของการลงประชามติของสหราชอาณาจักรที่ถอนตัวจากยุโรปผิดความคาดหมาย และแรงกดดันให้เฟดต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เข้มข้น
ในเดือนสิงหาคมนั้น หากไม่หลงลืมกัน สุ้มเสียงของนักวิเคราะห์ในช่วงแรกเต็มไปด้วยความหวาดระแวง พากันบอกว่าการเข้ามาของฟันด์โฟลว์ในขณะนั้นเป็นมายาที่ผิดธรรมชาติ แต่เมื่อต่างชาติเข้ามาต่อเนื่องไม่หยุดยั้งนานกว่า 1 เดือน ท่าทีนักวิเคราะห์ก็เปลี่ยนไป
ครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้นักวิเคราะห์จะมีมุมมองว่า ต่างชาติจะถอนตัวจากตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ไทยต่อไปอีกจนกว่าจะถึงเดือนมกราคมปีหน้า แต่สถานการณ์ที่ต่างชาติเริ่มย้อนกลับมาด้วยต้นทุนเดิม ที่ต่างชาติยังมียอดซื้อสุทธิสะสมตลอดปีนี้มากกว่า 7 หมื่นล้านบาทเศษ ก็อาจจะทำให้นักวิเคราะห์มีโอกาสผิดพลาดได้อีกครั้งหนึ่ง
โค้งสุดท้ายของตลาดหุ้นไทยปีนี้ มีปัจจัยบวกและลบหลายด้าน นับแต่เม็ดเงินจาก LTF และ RMF ที่เข้ามาซื้อหุ้นบลูชิพในตลาด ซึ่งยังมีราคาต่ำ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลไทย ในขณะที่ปัจจัยภายนอกก็มีเรื่องราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวจากมติของโอเปก และการคาดเดาผลประชุม ECB รวมทั้งเงินทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อในตลาดหุ้นเอเชียก่อนหยุดยาว ก็ยังมีโอกาสที่จะทำให้ดัชนีมีโอกาสขยับตัวฝ่าแนวต้านขึ้นไปอย่างช้าๆ ได้
เพียงแต่สิ่งที่ยังคาดเดาไม่ถูกคือ จะต้องการกลุ่มหุ้นที่มี ”สตอรี่” ที่สามารถชูธงนำเสมือนจุดพลุกำหนดทิศทางของตลาดให้เป็นขาขึ้นจริงจังให้ได้เท่านั้น โอกาสที่จะเห็น 1,550 จุดหรือเกินกว่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง
เพียงแต่การจินตนาการและพูดออกมาอย่างนี้ ง่ายกว่าการลงมือกระทำหลายเท่า เพราะในทางปฏิบัติ จะเป็นได้หรือไม่ อยู่ที่ตัวแปรว่าด้วยแรงซื้อที่คึกคักมากเพียงพอ และมีปัจจัยเสริมอื่นๆ สนับสนุนด้วย