ดูยัง? รายชื่อ 6 หุ้น พาเม่าติดดอย!11 เดือนถูกกระหน่ำขาย รูดเกิน 40%

ดูยัง? รายชื่อ 6 หุ้น พาเม่าติดดอย! 11 เดือนถูกกระหน่ำขาย รูดเกิน 40%


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ SET ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2559 เทียบราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.58 – 30 พ.ย.59 โดยการสำรวจครั้งนี้จะขอนำเสนอหุ้นที่มีสภาพคล่อง และถูกขายทำกำไรอย่างหนักภายในระยะเวลา 11 เดือน ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงเกิน 40

โดยหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมีทั้งหมด 6 ตัว คือ SOLAR , TASCO  ,AS ,MAX , CSS และJWD ดังตารางประกอบดังนี้

 

อันดับที่ 1 บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR ราคาหุ้นปรับตัวลง 63.23% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 9.90 บาท ลบ 6.26 บาท มาอยู่ที่ 3.64 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย. 59

อย่างไรก็ตาม นางปัทมา วงษ์ถ้วยทอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SOLAR เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 60 จะสูงกว่าราว 1.5 พันล้านบาทในปีนี้ หลังจะรับรู้รายได้จากโครงการโซลาร์มฟาร์มสหกรณ์รวม 9 เมกะวัตต์ (MW) และจ่ายไฟฟ้าภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงมีรายได้จากธุรกิจจัดการพลังงาน (ESCO) ที่ดำเนินการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟให้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งจะเป็นรายได้ประจำเข้ามา นอกเหนือจากรายได้จากธุรกิจออกแบบติดตั้งก่อสร้างผลิตไฟฟ้า (EPC) และการจำหน่ายแผงโซลาร์เซลล์

ขณะที่ยังมีแผนจะเข้าร่วมเสนองานร่วมกับหน่วยงานรัฐเพื่อของบประมาณรายจ่ายกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานประจำปีงบประมาณ 2560 ซึ่งมีวงเงินราว 1 หมื่นล้านบาท และต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งทำให้ตลาดภายในประเทศยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก

สำหรับรายได้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปีนี้มาที่ราว 1.5 พันล้านบาทนั้น มาจากการเพิ่มขึ้นของธุรกิจผลิตโซลาร์เซลล์ และงาน EPC ที่มีสัดส่วนรายได้มากกว่า 50% โดยในปีนี้บริษัทได้รับงานติดตั้งโซลาร์รูฟให้กับเทสโก้ โลตัส ในไทยจำนวน 13 สาขา รวมราว 11 MW ซึ่งจะเริ่มขนานไฟสาขาสุดท้ายในปลายเดือนพ.ย.นี้ และงานจัดซื้อระบบผลิตไฟฟ้าและสูบน้ำด้วยเซลล์แสงอาทิตย์แบบเคลื่อนที่ ให้กับกรมการพลังงานทหาร มูลค่า 240 ล้านบาท (PV Mobile)

นอกจากนี้ ยังรับงาน ESCO ระบบผลิตไฟฟ้าโซลาร์รูฟ ให้กลุ่มมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวม 15 MW ซึ่งขณะนี้ติดตั้งแล้ว 5 MW และจะทยอยติดตั้งให้แล้วเสร็จภายในปี 60

 

อันดับที่ 2 บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ราคาหุ้นปรับตัวลง 55.31% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 40.50 บาท ลบ 22.40 บาท มาอยู่ที่ 18.10 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย. 59

อย่างไรก็ตาม นายชัยวัฒน์ ศรีวรรณวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ TASCO เปิดเผยว่า ยอดขายยางมะตอยในปีนี้คาดจะทำได้ 2 ล้านตัน ต่ำกว่าปีก่อนที่ทำได้ 2.3 ล้านตัน หลังได้รับผลกระทบจากยอดขายต่างประเทศลดลงตามความต้องการใช้ยางมะตอยที่ลดลง ทั้งในตลาดจีน อินโดนยีเซีย และเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดหลักของการส่งออก โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการส่งออกราว 70-80% และขายในประเทศ 20-30%

ขณะที่แนวโน้มยอดขายยางมะตอยไตรมาส 4/59 จะใกล้เคียงกับไตรมาส 3/59 โดยได้รับปัจจัยบวกจากยอดขายในประเทศเป็นหลัก ตามการลงทุนของภาครัฐที่ออกมาค่อนข้างมาก ทั้งการก่อสร้างถนน การซ่อมแซม ขณะเดียวกันในไตรมาสก่อนหน้าถือว่าเป็นช่วงของฤดูฝน ส่งผลให้ยอดขายปรับตัวต่ำที่สุด

นอกจากนี้บริษัทคาดยอดขายยางมะตอยปี 60 จะทำได้ไม่ต่ำกว่า 2.3 ล้านตัน หรือกลับไปเทียบเท่ากับยอดขายในปี 58 เป็นผลมาจากความต้องการของตลาดต่างประเทศฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งตลาดเวียดนาม อินโดนีเซีย ขณะที่จีนน่าจะอยู่ในระดับที่ทรงตัว จากภาวะโอเวอร์ ซัพพลายของประเทศเกาหลีใต้ยังคงมีอยู่ ส่วนยอดขายในประเทศในปีหน้าน่าจะอยู่ในระดับที่ทรงตัว หลังรัฐบาลมีการเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณในการก่อสร้างออกมาค่อนข้างมากในช่วงเดือนต.ค.59 ส่งผลทำให้ยอดขายยางมะตอยในประเทศปีนี้จะทำได้ไม่น้อยกว่า 5 แสนตัน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด จากยอดขายยางมะตอย 9 เดือนแรกปีนี้ทำได้แล้ว 4.9 แสนตัน

 

อันดับที่ 3 บริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AS ราคาหุ้นปรับตัวลง 50.30% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 3.36 บาท ลบ 1.69 บาท มาอยู่ที่ 1.67 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย. 59

อย่างไรก็ตาม นางรัตนา มะโนมงคลกุล รองกรรมการผู้จัดการ AS คาดว่า ผลการดำเนินงานในปี 59 ในส่วนของรายได้คาดว่าน่าจะทำได้ใกล้เคียงกับ 918.50 ล้านบาทในปีก่อน เนื่องจากตลาดเกมส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยการพัฒนาเกมส์ใหม่ ๆ ทั้ง PC Game และ Mobile Game ปีนี้มีการออกเกมส์ใหม่เพิ่ม จำนวน 5 เกมส์ และ 3 เกมส์ ตามลำดับ ซึ่งสัดส่วนรายได้ระหว่าง PC Game จะอยู่ที่ 90% และ 10% เป็น Mobile Game ขณะเดียวกันบริษัทมีการตั้งด้อยค่าลิขสิทธิ์เกมส์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งลดลงจากปีก่อน 83.5%

ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นไป หลังจากที่มีผลขาดทุนสุทธิตั้งแต่ปี 57 ขณะที่ในงวด 9 เดือนแรกปีนี้มีผลขาดทุนสุทธิ 149.74 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 197.78 ล้านบาท โดยมองว่าในปีหน้าจะกลับมามีกำไรใกล้เคียงกับปี 55 ที่ทำได้ราว 294 ล้านบาท และจะทำให้ผลขาดทุนสะสมที่มีอยู่ราว 1,000 ล้านบาท ปรับตัวลดลงอีกด้วย

ทั้งนี้การที่ผลการดำเนินงานจะกลับมามีกำไรเนื่องจากบริษัทได้ปรับโครงสร้างบริษัทย่อยทั้งในและต่างประเทศ โดยขาย ,โอน และเลิกกิจการ เพื่อให้การบริหารจัดการมีความคล่องตัว เพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่าย  ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้ขายหุ้นบริษัทย่อยในประเทศเวียดนาม ที่ถืออยู่ 100% มูลค่า 47,000 เหรียญสหรัฐฯ คาดว่าจะสามารถบันทึกเข้าเป็นกำไรในช่วงไตรมาส 4/59 และน่าจะทำให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/59 มีผลขาดทุนสุทธิลดลงด้วย

 

อันดับที่ 4 บริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MAX ราคาหุ้นปรับตัวลง 50% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 0.22 บาท ลบ 0.11 บาท มาอยู่ที่ 0.11 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย. 59

อย่างไรก็ตาม รศ.ดร. อิทธิชัย อรุณศรีแสงไชย ประธานเจ้าหน้าบริหาร MAX เปิดเผยว่า บริษัทได้เข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าของ บริษัท พีพีทีซี จำกัด หรือ PPTC ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็กระบบ Cogeneration กำลังการผลิตรวม 120 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วน 21.5% ซึ่งวางมัดจำไปแล้ว 100 ล้านบาท โดยคาดว่าจะส่งมอบหุ้นทั้งหมดภายในสิ้นปี หลังจากได้อนุมัติให้โอนหุ้นจากสถาบันการเงินแล้ว

ขณะที่โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงจากขยะ R-EEP ที่ตั้งอยู่แพรกสา กำลังการผลิตรวม 9.9 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วน 20% จ่ายเงินครบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ภายในต้นปี 2560 โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และได้รับอนุมัติวงเงินจาก ธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งแล้ว

ทั้งนี้บริษัทอยู่ในระหว่างการเจรจากับโรงไฟฟ้าผลิตพลังงาน Cogeneration เพิ่มอีก 2 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตรวม 240 เมกกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่น อีกหลายแห่ง ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการศึกษารายละเอียด และรวบรวมข้อมูล โดยเตรียมนำข้อมูลที่ได้มาเสนอให้คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) และที่ปรึกษาทางด้านการเงินเพื่อพิจารณาการลงทุนต่อไปภายในสิ้นเดือนธ.ค.นี้

 

อันดับที่ 5 บริษัท คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ ซิสเต็มส์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CSS ราคาหุ้นปรับตัวลง 42.26% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 4.78 บาท ลบ 2.02 บาท มาอยู่ที่ 2.76 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย. 59

อย่างไรก็ตาม นายสมพงษ์ กังสวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CSS เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของบริษัทและบริษัทย่อย คาดว่ายังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ภายในประเทศและการขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ

ประกอบกับบริษัทยังคงเข้าประมูลงานต่างๆ ภายใต้งบประมาณของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจและเอกชนอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน,การลงทุนของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) และโครงการรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ เป็นต้น

 

อันดับที่ 6 บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ราคาหุ้นปรับตัวลง 42.09% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 13.47 บาท ลบ 5.67 บาท มาอยู่ที่ 7.80 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย. 59

อย่างไรก็ตาม นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD เปิดเผยว่า ในปี 60 บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ไม่รวมกับการเข้าซื้อกิจการใหม่ (M&A) จะเติบโต 7% จากปีนี้ที่คาดว่ารายได้จะไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 2.38 พันล้านบาท

ส่วนกำไรสุทธิปี 60 จะกลับไปอยู่ในระดับปกติในระดับเดียวกับช่วงปี 58 ที่มีกำไรสุทธิอยู่กว่า 300 ล้านบาท หลังจากที่ในงวด 9 เดือนแรกปีนี้บริษัทยังมีผลประกอบการที่ขาดทุน 51.45  ล้านบาท  ซึ่งผลขาดทุนดังกล่าวเกิดจากการตั้งประมาณการหนี้สินจำนวน 129.5 ล้านบาท โดยการตั้งประมาณการหนี้สินดังกล่าวเกิดจาก ดอกเบี้ยที่เกิดจากคีดฟ้องร้องค่าเสียหายจากเหตุเพลิงไหมคลังสินค้าจำนวน 13.7 ล้านบาท โดยขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการยื่นฎีกาต่อศาลฎีกา ทั้งนี้ บริษัทได้บันทึกประมาณการหนี้สินในส่วนค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องร้องจำนวน 57.0 ล้านบาทในปี 57 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

อย่างไรก็ตามราคาหุ้นบางตัวอาจถูกปัจจัยลบส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง ทั้งนี้นักลงทุนยังสามารถเลือกซื้อหุ้นที่มีราคาถูกเหล่านี้ได้ หากบริษัทนั้นๆ ยังมีผลการดำเนินงานที่ดี และพื้นฐานยังแข็งแกร่ง เพราะหากมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งจะทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจและกล้าที่จะเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว ส่งผลให้หุ้นจะมีโอกาสปรับตัวกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

 

*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button