พาราสาวะถี อรชุน

ปฏิทินประเทศไทยในเดือนธันวาคมนี้หนาแน่นไปด้วยวันหยุด แต่หากกางปฏิทินเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงสัปดาห์นี้ เริ่มต้นวันทำงานวันนี้ก็มีเรื่องลุ้นระทึกหากยึดตามเดดไลน์ก่อนหน้า จาก 10 ธันวาคมเป็น 13 ธันวาคม ปฏิบัติการณ์บุกวัดพระธรรมกายเพื่อตรวจค้นตามหมายค้นที่ศาลอนุมัติและบุกจับธัมมชโยตามหมายจับก็จะอุบัติขึ้น


ปฏิทินประเทศไทยในเดือนธันวาคมนี้หนาแน่นไปด้วยวันหยุด แต่หากกางปฏิทินเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงสัปดาห์นี้ เริ่มต้นวันทำงานวันนี้ก็มีเรื่องลุ้นระทึกหากยึดตามเดดไลน์ก่อนหน้า จาก 10 ธันวาคมเป็น 13 ธันวาคม ปฏิบัติการณ์บุกวัดพระธรรมกายเพื่อตรวจค้นตามหมายค้นที่ศาลอนุมัติและบุกจับธัมมชโยตามหมายจับก็จะอุบัติขึ้น

พิจารณาตามเนื้อผ้าแม้ว่าไร้ซึ่งสัญญาณจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ เพื่อสงวนท่าทีและเป็นการปิดลับ ไม่อยากให้กระโตกกระตาก ไม่อยากให้ไก่ตื่นเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อกลางปีที่ผ่านมา พิจารณาจากการยื่นให้กสทช.ปิดช่องดีเอ็มซี อันเป็นทีวีของธรรมกายใช้สื่อสารกันระหว่างวัดกับศิษยานุศิษย์ นี่คือการปิดช่องทางสื่อสารเหมือนยุทธวิธีทางทหารที่เคยใช้ปิดสื่อเสื้อแดงก่อนการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2552-2553

อย่างไรก็ตาม การเปิดปฏิบัติการบุกค้นและจับ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะผลีผลาม แม้จะวางกำลังเจ้าหน้าที่เอาไว้มากมายไม่น้อยกว่า 15 กองร้อยหรือ 2,250 นายขึ้นไป แต่ก็ไม่มีใครประเมินได้ว่าภายในวัดพระธรรมกายมีพระและศิษยานุศิษย์ปักหลักอยู่ภายในเป็นจำนวนเท่าใด เมื่อบุกเข้าไปแล้วจะได้รับการต้อนรับอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยหรือเกิดการลุกฮือ ก็ไร้การยืนยัน

นาทีนี้จึงมีเพียงการท่องคาถาของฝ่ายรัฐผู้ยึดเอากฎหมายเป็นความชอบธรรม บวกกับเสียงของฝ่ายที่ไม่ชอบขี้หน้าสำนักธรรมกายที่ชูมือหนุนยกมือเชียร์ ล่าสุดก็มีเสียงเตือนมาจากคณะศิษยานุศิษย์ว่าไม่รับประกันจะเกิดอะไรขึ้นหากเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปในวัด อาจจะเป็นเพียงการขู่กันไปมา หรือว่าอีกฝ่ายพร้อมที่จะปะทะทุกเมื่อ ก็ไม่มีใครกล้าการันตี

แต่ในเมื่อเจ้าหน้าที่ยืนยันความชอบธรรมแล้วและเพื่อไม่ให้เป็นการเสียรังวัด หลังจากเสียหน้ามาหนหนึ่งแล้วเมื่อกลางปี ภายในเดือนธันวาคมนี้จะต้องปิดปฏิบัติการที่วางเป้าหมายไว้แล้วให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม สัญญาณที่ส่งมาแม้จะชัดเจน แต่ก็ยังเป็นเครื่องหมายคำถามในทำนองไม่เชื่อว่า การบุกธรรมกายจะไม่เกิดขึ้นในเร็ววันและไม่น่าจะปิดจ๊อบแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่หากไม่อยากถูกตราหน้าว่าไร้น้ำยารอบ 2 ฝ่ายถือกฎหมายก็ต้องแสดงความเด็ดขาด

ถัดจากเดดไลน์ที่คาดหมายว่าจะบุกธรรมกายในวันนี้ พรุ่งนี้ที่สโมสรสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย มีชัย ฤชุพันธุ์ ก็จะนำคณะกรธ.ไปเปิดเวทีรับฟังความเห็นจากผู้คนและมีเป้าหมายสำคัญที่พรรคการเมืองต่างๆ เพื่อมาช่วยรับรองและทำให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ยกร่างกันมามีความชอบธรรม

ความมุ่งหวังที่ว่าอยากจะฟังเสียงของพรรคการเมืองเพื่อนำไปสู่การปรับแก้นั้น แค่วาทกรรมที่ฟังดูรื่นหูและทำให้กรธ.ดูดีเท่านั้น เพราะความเป็นจริงนับตั้งแต่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ (ที่ปิดหูปิดตาประชาชนเต็มที่) มาแล้ว มีการเปิดเวทีในลักษณะนี้แต่สิ่งที่มีการนำเสนอโดยเฉพาะจากพรรคการเมืองนั้นได้การตอบสนอง

การอาศัยเวทีพิธีกรรมที่อ้างว่ารับฟังความเห็นทุกฝ่ายโดยเฉพาะพรรคการเมืองเพื่อให้กฎหมายพรรคการเมืองมีความชอบธรรมนั้น ดูเหมือนว่ากรธ.ต้องการให้พรรคการเมืองใหญ่อย่างเพื่อไทยและประชาธิปัตย์เข้าร่วมเป็นอย่างมาก แม้มีชัยจะวางฟอร์ม แต่ ชาติชาติ ณ เชียงใหม่ ในฐานะประธานอนุกรรมการรับฟังความเห็นก็ยืนยันว่าได้ส่งเอกสารเชิญไปยังทุกพรรคการเมืองแล้ว

ไม่เพียงเท่านั้น อลงกรณ์ พลบุตร ยังออกมาเรียกร้องให้ทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่เข้าร่วมเวทีดังกล่าว เท่ากับองคาพยพแม่น้ำ 5 สายอยากได้เสียงรับรองเพื่อสร้างความชอบธรรมอย่างเต็มที่ ทีนี้ก็ต้องวัดใจว่าสองพรรคการเมืองใหญ่จะเล่นไปตามเกมที่เขากำหนดหรือยืนอยู่บนสิ่งที่ประกาศว่าเป็นหลักการอันสำคัญของพรรค

ดูจากการขยับของชาติชาย ดูจากการให้สัมภาษณ์ของอลงกรณ์ งานนี้เด่นชัดเป็นอย่างยิ่งว่า ต้องการผลักความผิดให้ไปอยู่ที่สองพรรคการเมืองใหญ่หากไม่เข้าร่วม ให้ข่าวเพื่อให้เข้าหูเข้าตาประชาชนโดยเฉพาะพวกกองเชียร์ว่า พรรคการเมืองนั่นแหละที่เล่นเกม เนื่องจากมีการเชิญไปแล้วแต่ก็ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม จึงอยู่ที่ผู้บริหารของสองพรรคว่าจะอธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผลให้สังคมเข้าใจเจตนาอย่างไร

ในส่วนของพรรคนายใหญ่ จากท่าทีที่แสดงมาตั้งแต่ถูกยึดอำนาจก็คงจะต้องเล่นบทยืนคนละฝั่งแสดงจุดยืนคนละด้านกับองคาพยพของคณะรัฐประหาร แต่ที่เดาใจไม่ถูกคือพรรคเก่าแก่ เอาแค่กรณีร่วมหรือไม่ร่วมงานวันพรุ่งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะฟังใครดี นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคปัจจุบันบอกไม่เข้าร่วม แต่ ถาวร เสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรคและแกนนำกปปส.บอกต้องร่วม

หากมองจากคนวงนอกแบบไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมาก นี่เป็นการวัดพลังกันของคนสาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ สุเทพ เทือกสุบรรณ โดยตรงหรือเปล่า แม้หัวหน้าพรรคคนหล่อจะหยอดคำหวานทั้งประชาธิปัตย์และกปปส.ตัดขาดกันไม่ได้ แต่หากไปถามคนอย่าง ชวน หลีกภัย น่าจะได้คำตอบไปคนละทาง ดังนั้น จึงถึงเวลาที่ต้องเลือกว่าใครจะอยู่ใครจะไป

ตัวอภิสิทธิ์เองวงในยังไม่กล้ายืนยันว่าในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น จะได้สวมหัวโขนเป็นผู้นำพรรคอีกหรือเปล่า แม้เจ้าตัวจะอาสาของลองอีกสักตั้งถ้าพลาดพลั้งพ่ายแพ้อีกจะปิดฉากตัวเองทันที แต่คนที่ให้โอกาสไปแล้ว และถูกเด็กเอาแต่ใจนำพรรคไปปู้ยี่ปู้ยำกับคนหน้าดำ ยังเข็ดขยาดกันมาถึงทุกวันนี้ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดแรงกระเพื่อมภายในเป็นสงครามที่เริ่มก่อตัวสำหรับการแย่งชิงการนำภายในพรรคเก่าแก่

ที่ยืนยันได้ตรงนี้ สายที่ย้ำเรื่องประชาธิปไตย ระบบรัฐสภาและมีตำแหน่งแห่งหนในพรรคเวลานี้ยืนอยู่กันละฝั่งกับพวกของเทพเทือกอย่างแน่นอน ท่าทีที่แสดงออกจึงแตกต่างจากอีกฝั่งซึ่งประกาศชัดยึดมั่นในระบบรัฐประหาร แต่ในขณะที่พรรคเก่าแก่ดูท่าว่าจะมีปัญหา พรรคเพื่อไทยของนายใหญ่ก็ใช่ว่าจะราบรื่น โดยเฉพาะเมื่อมีการเลือกแล้วว่าจะให้ใครเป็นผู้นำพรรคคนต่อไป งานนี้แรงกระเพื่อมถึงขึ้นพรรคแตกทีเดียว ทำไมเป็นเช่นนั้น เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังเมื่อได้รับการยืนยันข้อมูลอีกที

 

Back to top button