EPCO ทุ่มกว่า 500 ลบ. เข้าซื้อหุ้นทางอ้อมในโรงไฟฟ้าเอสพีพี 240MW

EPCO ทุ่มกว่า 500 ลบ. เข้าซื้อหุ้น 50% ใน "บ.ทัศน์ศิริ" เพื่อถือหุ้นทางอ้อมใน "บ.เอสเอสยูที" ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP) 2 แห่ง กำลังการผลิตรวม 240MW เพิ่มอีก 10%


บริษัทโรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EPCO ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทวันนี้ (15 ธ.ค.) อนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญในบริษัท ทัศน์ศิริ จำกัด ในสัดส่วน 50% เพื่อเข้าเป็นผู้ถือหุ้นทางอ้อมในสัดส่วน 10% ของบริษัท เอสเอสยูที จำกัด (SSUT) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP) ระบบ Cogeneration กำลังการผลิตสูงสุดรวมประมาณ 240 เมกะวัตต์ (MW) และไอน้ำกำลังการผลิตสูงสุดประมาณ 60 ตัน/ชั่วโมง ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ รวมเป็นเงิน 509.42 ล้านบาท โดยลงทุนผ่าน บริษัทอีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EP ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นอยู่ 75%

ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวเป็นไปตามที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.และที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2559 เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ได้มีมติอนุมัติการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้า SPP ระบบ Cogeneration รวม 2 แห่ง ด้วยเงินลงทุน 2.65 พันล้านบาท ซึ่งได้แก่ การเข้าซื้อหุ้นทั้งตรงและทางอ้อม สัดส่วน 49.5% ของบริษัท พีพีทีซี จำกัด (PPTC) กำลังผลิต 120MW และไอน้ำ 30 ตัน/ชั่วโมง ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง กรุงเทพฯ และเข้าซื้อหุ้นทางตรงและทางอ้อม 30% ของ SSUT ซึ่งมีโรงไฟฟ้า 2 แห่ง กำลังการผลิตแห่งละ 120MW และไอน้ำ แห่งละ 30 ตัน/ชั่วโมง

โดยจะเป็นการเข้าซื้อหุ้นของ PPTC ,บริษัท แทค เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (TAC) และบริษัท ทัศน์ศิริ จำกัด เพื่อให้ได้มาซึ่งหุ้นทางตรงและทางอ้อมใน PPTC และ SSUT ตามแผนดังกล่าว ขณะที่ PPTC ได้เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ส่วน SSUT โรงไฟฟ้าที่ 2 ได้เริ่ม COD แล้วเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.59 และโรงไฟฟ้าแห่งที่ 1 คาดว่าจะเริ่ม COD ภายในเดือนธ.ค.59

ดังนั้น การเข้าซื้อหุ้นทางอ้อมอีก 10% ใน SSUT ครั้งนี้ ส่งผลให้บริษัทถือหุ้นทางอ้อมใน SSUT ครบ 30% ตามเป้าหมาย จากก่อนหน้านี้เข้าถือหุ้น TAC แล้ว 50% ขณะที่ TAC ถือหุ้นใน SSUT จำนวน 40% สำหรับแหล่งเงินลงทุนมาจากการใช้เงินเพิ่มทุนของ EP จำนวน 750 ล้านบาท รวมถึง EP ได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ เมื่อเดือนก.ย.จำนวน 1.5 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทมีวงเงินในการออกหุ้นกู้อีก 2 พันล้านบาท

ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมและสร้างความเติบโตของรายได้ที่มั่นคงให้แก่บริษัทในอนาคต ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกำไรและกระแสเงินสดกลับมายังบริษัทในระยะเวลาอันรวดเร็ว และช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว

Back to top button