เปิดโผ 5 หุ้น mai ราคาทรุดไม่เลิก!EFORL โคม่าสุดในรอบ 11 เดือน
เปิดโผ 5 หุ้น mai ราคาทรุดไม่เลิก! EFORL โคม่าสุดในรอบ 11 เดือน
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ปรับตัวลงแรงในรอบ 11 เดือน โดยเทียบราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.58 – 30 พ.ย.59 โดยครั้งนี้จะขอนำเสนอหุ้นที่ราคาปรับตัวลงแรงเกิน 40% นำโดย EFORL,TAKUNI, DIMET,UPA, และ LDC ตามตารางประกอบดังนี้
หลักทรัพย์ | 30-พ.ย.-59 | 31-ธ.ค.-58 | เปลี่ยนแปลง | |
บาท | % | |||
EFORL | 0.28 | 0.77 | -0.49 | -63.64 |
TAKUNI | 1.45 | 3.90 | -2.45 | -62.82 |
DIMET | 2.64 | 5.70 | -3.06 | -53.68 |
UPA | 0.58 | 1.18 | -0.60 | -50.85 |
LDC | 1.40 | 2.66 | -1.26 | -47.37 |
อันดับ 1 บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ราคาหุ้นปรับอยู่ที่ระดับ 0.28 บาท (30 พ.ย.59) ลบ 0.49 บาท หรือลดลง 63.64% จากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 0.77 บ. (30 ธ.ค.58) ราคาหุ้นอ่อนตัวตลอดช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากหุ้นไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ประกอบกับตัวธุรกิจที่ออกมาไม่สดใสเห็นได้งบ Q1/59 มีผลขาดทุนสุทธิ 32.26 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 103.11 ลบ.
อีกทั้งงบ Q2/59 ขาดทุน 49.48 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 20.20 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการลดลง ล่าสุดผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีผลขาดทุนสุทธิ 127.98 ล้านบาท หรือ 0.0132 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 155.43 ล้านบาท หรือ 0.0169 บาทต่อหุ้น เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการลดลง และค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามบริษัทมั่นใจยอดขายในช่วงไตรมาส 4/59 จะอยู่ที่ราว 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 3/59 ที่มีรายได้รวม 856 ล้านบาท จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีมากขึ้นในช่วงท้ายปี โดยเฉพาะในส่วนของยอดขายเครื่องสำอางคอสเมติก ที่บริษัทเร่งทำโปรโมชั่นออกสู่ตลาด เพื่อกระตุ้นยอดขาย ขณะที่ธุรกิจเครื่องมือแพทย์ก็มีสัญญาณการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ได้รับอานิสงส์จากมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ
อันดับ 2 บริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI ราคาหุ้นปรับอยู่ที่ระดับ 1.45 บาท (30 พ.ย.59) ลบ 2.45 บาท หรือลดลง 62.82% จากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 3.90 บ. (30 ธ.ค.58) โดยราคาหุ้นร่วงแรงแรงในช่วง 11 เดือน ส่วนหนึ่งมาจากประเด็นการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทจำนวน 400 ล้านบาท จากเดิม 200 ล้านบาท เป็น 600 ล้านบาท ในช่วงปลายปีก่อน ทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นออกมาไม่หยุดและกระทบมาจนถึงช่วงดังกล่าว ประกอบกับหุ้นไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นต่อเนื่อง
นอกจากนี้ตัวธุรกิจหลักก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquid Petroleum Gas: LPG) และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซปิโตรเลียมเหลว สร้างผลกำไรไม่ดีนัก ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/59 มีกำไรสุทธิ 0.93 ล้านบาท ลดลง 97% จากปีก่อนมีกำไร 28.41 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 จะมีกำไรสุทธิ 18.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 155% จากปีก่อนมีกำไร 7.34 ล้านบาท แต่ดูเหมือนว่าราคาหุ้นจะไม่ฟื้นตัวตาม เพราะล่าสุดรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/ มีผลขาดทุนสุทธิ 0.40 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 24.12 ล้านบาท อีกทั้งยังไม่มีแผนงานออกมาเด่นชัดทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นตลอด 11 เดือนที่ผ่านมา
อันดับ 3 บริษัท ไดเมท (สยาม) จำกัด (มหาชน) หรือ DIMET ราคาหุ้นปรับอยู่ที่ระดับ 2.96 บาท (30 พ.ย.59) ลบ 3.06 บาท หรือลดลง 53.68% จากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 5.70 บ. (30 ธ.ค.58) ราคาหุ้นอ่อนตัวตลอดช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากหุ้นไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน อีกทั้งพื้นฐานหุ้นไม่แข็งแกร่งเห็นได้จากผลการดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่องทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายงวดปี 59/60 (ก.ค.59-มิ.ย.60) เติบโตเป็น 500 ล้านบาท จาก 327 ล้านบาทในงวดปีก่อน จากการเพิ่มจำนวนตัวแทนจำหน่ายมากขึ้น โดยปีนี้จะเพิ่มตัวแทนจำหน่ายอย่างน้อย 9 สาขา ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เพิ่มไปแล้ว 5 สาขา และมีความสนใจที่จะขยายไปยังพื้นที่ จ.ภูเก็ต ,สงขลา ,พิษณุโลก และชลบุรี เพิ่มเติมอีก ส่งผลให้บริษัทจะมีตัวแทนจำหน่ายทั้งสิ้น 54 ราย
อันดับ 4 บริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ UPA ราคาหุ้นปรับอยู่ที่ระดับ 0.58 บาท (30 พ.ย.59) ลบ 0.60 บาท หรือลดลง 50.85% จากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.18 บ. (30 ธ.ค.58) ราคาหุ้นอ่อนตัวตลอดช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทยังประสบปัญหาขาดทุนเรื้อรัง ทำให้ข่าวดีที่เข้ามาสนับสนุน อาทิ เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ขนาด 200 เมกะวัตต์ (MW) กับกระทรวงพลังงานสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และเซ็น MOU ร่วมมือ System Integrator ใหญ่ของเวียดนาม ไม่ได้ช่วยหนุนราคาหุ้นให้ฟื้นตัวแต่อย่างใด
ประกอบกับงบไตรมาส 1/59 ขาดทุน 33.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.01% จากปีก่อนขาดทุน 20.51 ล้านบาท และงบ Q2/59 ขาดทุน 34.12 ล้านบาท ลดลง 5.64% จากปีก่อนขาดทุน 36.16 ล้านบาท ส่วน 6 เดือน ขาดทุน 67.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.12% จากปีก่อนขาดทุน 56.84 ล้านบาท
ล่าสุดไตรมาส 3/59 มีผลขาดทุนสุทธิ 24.64 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 13.04% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 21.80 ล้านบาท ยิ่งทำให้ราคาหุ้นอ่อนตัวไม่หยุดในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา
อันดับ 5 บริษัท แอลดีซี เด็นทัล จำกัด (มหาชน) หรือ LDC ราคาหุ้นปรับอยู่ที่ระดับ 1.40 บาท (30 พ.ย.59) ลบ 1.26 บาท หรือลดลง 47.37% จากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 2.66 บ. (30 ธ.ค.58) ราคาหุ้นเป็นขาลงตลอด 11 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนการลงทุน อีกทั้งผลการดำเนินงานไม่สดใส เห็นได้จากผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีผลขาดทุนสุทธิ 57.26 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 215.41%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 18.15 ล้านบาท ทำให้นักลงทุนขายหุ้นออกมาต่อเนื่อง
อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมามีประเด็นเรื่องขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด(PP) จำนวน 50 ล้านหุ้น ซึ่งเข้าเทรดในช่วงเดือนสิงหาคมและไม่ติด Silent Period จึงทำนักลงทุนกังวลและเทขายหุ้นออกมาส่วนหนึ่ง
อย่างไรก็ตามบริษัทฯอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนธุรกิจความงามร่วมกับพันธมิตร โดยเป็นลักษณะความงามที่เกี่ยวเนื่องกับการทำฟัน เพราะปัจจุบันผู้บริโภคมาใช้บริการทำฟัน เพราะคาดหวังด้านรูปลักษณ์ที่ดีขึ้นด้วย ทั้งนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 60
โดยบริษัทฯคาดผลประกอบการปี 60 จะดีกว่าปีนี้ เนื่องจากบริษัทฯหยุดการขยายสาขาเพิ่ม เพื่อที่จะเข้ามาทำการตลาดเพื่อที่จะสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ของบริษัทฯให้มากขึ้น และบริษัทฯจะสามารถรับรู้รายได้เต็มปีในสาขาทั้งหมด 31 แห่ง พร้อมทั้งตั้งเป้าอัตราการเข้าใช้บริการของสาขารวมทั้งหมด บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 40% ในปี 60 จาก 30% ในปัจจุบัน ตรงนี้น่าจะทำให้หุ้นฟื้นตัวได้อีกครั้ง
ทั้งนี้หากสังเกตหุ้นปรับตัวลงแรง ส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบในเรื่องผลประกอบการ และทิศทางธุรกิจยังไม่สดใสทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นตลอด 11 เดือนที่ผ่านมา แต่หากมองอีกด้านหนึ่งถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้สะสมหุ้นกลุ่มนี้ เพราะดูจากแผนธุรกิจที่ยังพร้อมจะพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมาสดใส ถึงตอนนั้นหุ้นเหล่านี้ก็มีโอกาสกลับมาสดใสและดีดกลับไปราคาเดิมที่เคยร่วงแรงก็เป็นได้
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้นเป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำหรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตามล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน