BTS เผยบ.ร่วมทุน SIRI เพิ่มงบซื้อที่ดิน 5 ปีเป็น 3 หมื่นลบ. จากเดิม 1 หมื่นลบ.

BTS เผยบริษัทร่วมทุน SIRI เพิ่มงบซื้อที่ดิน 5 ปี (ปี 58-62) เป็น 3 หมื่นลบ.จากเดิมหมื่นล้านบาท หวังรองรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หลังลงทุนขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าต่อเนื่อง


นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยว่า บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทและบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ได้ปรับเพิ่มงบซื้อที่ดินในช่วง 5 ปี (ปี 58-62) เป็น 3 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อเพิ่มจำนวนที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทร่วมทุน หลังจากมีการลงทุนขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง

โดยล่าสุดกลุ่ม BTS ได้รับสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ระยะทางรวม 65 กิโลเมตร ซึ่งเป็นโอกาสที่ทำให้บริษัทร่วมทุนมีโอกาสพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้าที่บีทีเอสได้สัมปทาน ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบริษัทร่วมทุน ที่ต้องการพัฒนาโครงการใกล้สถานรถไฟฟ้าบีทีเอสในระยะไม่เกิน 500 เมตร

ทั้งนี้การซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นคาดว่าจะทำให้การเปิดโครงการของบริษัทร่วมทุนจะทำได้มากกว่าที่ตั้งไว้ 25 โครงการภายใน 5 ปี และมูลค่าโครงการรวมคาดว่าจะมากกว่า 1 แสนล้านบาท หลังปัจจุบันบริษัทร่วมทุนได้เปิดโครงการแล้วทั้งหมด 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการเดอะไลน์ จตุจักร-หมอชิต มูลค่าโครงการ 6 พันล้านบาท โครงการเดอะไลน์ สุขุมวิท 71 มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท โครงการเดอะไลน์ ราชเทวี มูลค่าโครงการ 2.9 พันล้านบาท โครงการเดอะไลน์ อโศก-รัชดา มูลค่าโครงการ 2.9 พันล้านบาท

รวมทั้งโครงการเดอะไลน์ สุขุมวิท 101 มูลค่าโครงการ 4.2 พันล้านบาท โครงการเดอะไลน์ พหลฯ-ประดิทพัทธ์ มูลค่าโครงการ 5.8 พันล้านบาท โครงการเดอะเบส การ์เด้น พระราม 9 มูลค่าโครงการ 2.28 พันล้านบาท และโครงการคุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค มูลค่าโครงการ 4 พันล้านบาท นอกจากนี้การพัฒนาโครงการยังจะมีการใช้แบรนด์อื่น ๆ เพิ่มขึ้น

ตอนนี้แผนของบริษัทร่วมทุนกับแสนสิริ ผมอยากเก็บแลนด์แบงก์ให้มากขึ้นเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต และหลังจากที่บีทีเอสได้รถไฟฟ้าสายใหม่อีก 2 สายเพิ่มมา ทำให้เรามีระยะทางเพิ่มขึ้นอีก 65 กิโลเมตร ซึ่งเราก็ตัดสินใจเพิ่มงบซื้อที่ดินเป็น 3 หมื่นล้านบาท จากเดิม 1 หมื่นล้านบาท ในช่วง 5 ปี นอกจากนี้ในอนาคตก็จะยังมีโอกาสทำโครงการแนวราบ หรือดึงแสนสิริเข้าไปร่วมทุนในที่ดินที่บริษัทเป็นเจ้าของ”นายคีรี กล่าว

ขณะที่การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับ SIRI นั้น เป็นหนึ่งในแผนการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท โดยปัจจุบันบริษัทยังได้ร่วมพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสกับบริษัทแกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLAND ย่านพหลโยธินด้วย ซึ่งมีแผนจะพัฒนาเป็นศูนย์ค้าปลีก คอนโดมิเนียม โรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ คาดจะมีความชัดเจนในต้นเดือน ก.พ.60 โดยในส่วนของศูนย์ค้าปลีกได้เจรจากับผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ในประเทศ 1 ราย เพื่อให้มาเช่าพื้นที่ของโครงการ คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงต้นเดือนก.พ.60 เช่นกัน

สำหรับส่วนที่อยู่อาศัยอาจจะแบ่งขายที่ดินให้กับบริษัทร่วมทุน BTS-SIRI เพื่อนำไปพัฒนา โดยปัจจุบันมูลค่าที่ดินในพื้นที่ดังกล่าวอยู่ที่ 1 ล้านบาท/ตารางวา

นอกจากนี้ในปี 60 บริษัทจะลงทุนก่อสร้างอาคารสำนักงานด้านหลังโครงการ เดอะไลน์ จตุจักร-หมอชิต โดยมีมูลค่าโครงการอยู่ที่ 8 พันล้านบาท พื้นที่เช่าทั้งหมด 140,000 ตารางเมตร ซึ่งที่ดินของโครงการดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ที่ดินของบริษัท และบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบของการพัฒนาที่ดินเปล่าในโครงการธนาซิตี้ ย่านบางนา จำนวน 400 ไร่ ซึ่งปัจจุบันรอความชัดเจนการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าโมโนเรลที่เข้าถึงโครงการดังกล่าว เพราะการมีรถไฟฟ้าผ่านทำให้การพัฒนาโครงการในธนาซิตี้ มีโอกาสได้รับความสนใจของผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในย่านนั้น และเกิดความคุ้มค่าในการลงทุนของบริษัท

สำหรับรายได้ของบริษัทในงวดปีบัญชี 63/64 (สิ้นสุด 31 มี.ค. 64) คาดว่าจะมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท จากปี 59/60 (สิ้นสุด 31 มี.ค. 60) อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท หลังจากรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองเปิดให้บริการแล้ว ทำให้บริษัทมีระยะทางของรถไฟฟ้าทั้ง 3 สาย ได้แก่ สายสีเขียว สายสีชมพู และสายสีเหลือง รวม 139.2 กิโลเมตร จากปัจจุบันราว 60 กิโลเมตร และคาดว่าจะมีจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการเพิ่มเป็น 1.7-2 ล้านคน/วัน จากปัจจุบันมีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการอยู่ที่ 8 แสนคน/วัน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สนับสนุนรายได้ของบริษัทให้เพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าการเจรจากับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) สำหรับสิทธิลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองคาดว่าจะได้ข้อสรุปในอีก 2 เดือน และหลังจากได้ข้อสรุปแล้วบริษัทจะเริ่มทำแผนการกำหนดขอบเขตของงานต่อไป โดยมีมูลค่าลงทุนรวมกว่า 1 แสนล้านบาท ภายใต้กิจการร่วมค้า BSR ได้แก่ BTS, บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ  RATCH และบริษัทซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC

ในอนาคตเราก็อยากให้รายได้จากธุรกิจอสังหาฯเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่มีการกำหนดแน่ชัดว่าเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ โดยในปัจจุบันถือว่ามีสัดส่วนอสังหาฯมีน้อยมาก ซึ่งสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทยังมาจากการให้บริการเดินรถไฟฟ้า”นายคีรี กล่าว

Back to top button