ไม่เต็มใจขึ้น?โมนิก้าและทีมงาน
*วานนี้ “โมนิก้า” มีโอกาสได้ไปพบเจอผู้คนมากมายหลายท่าน โดยทุกท่านพูดเหมือนกันว่า ตลาดหุ้นไทยไม่เต็มใจขึ้น? แรงซื้อถึงกะปริดกะปรอยอย่างไม่น่าเชื่อ และถ้าดูจากอาการชักดิ้นชักงอในบางจังหวะ บวกกับวอลุ่มหดหายไปดื้อๆ ย่อมเป็นสถานการณ์ที่ทำให้คนเล่นเกิดอาการจิตตกกันอย่างถ้วนหน้านั้น มันเป็นเรื่องที่ทำให้เดี๊ยนต้องฉุกคิดขึ้นมาในทันทีนะคะ
*วานนี้ “โมนิก้า” มีโอกาสได้ไปพบเจอผู้คนมากมายหลายท่าน โดยทุกท่านพูดเหมือนกันว่า ตลาดหุ้นไทยไม่เต็มใจขึ้น? แรงซื้อถึงกะปริดกะปรอยอย่างไม่น่าเชื่อ และถ้าดูจากอาการชักดิ้นชักงอในบางจังหวะ บวกกับวอลุ่มหดหายไปดื้อๆ ย่อมเป็นสถานการณ์ที่ทำให้คนเล่นเกิดอาการจิตตกกันอย่างถ้วนหน้านั้น มันเป็นเรื่องที่ทำให้เดี๊ยนต้องฉุกคิดขึ้นมาในทันทีนะคะ
*เนื่องจากรูปแบบของการลงทุนจะหงอยเหงาลงไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นผลมาจากนักลงทุนซึมซับสถานการณ์ที่มีผลกับการซื้อหุ้นไปอย่างเต็มที่ จึงไม่มีอาการตื่นเต้นกับข่าวสารใหม่ๆ ที่เข้ามาเป็นระลอก แถมหุ้นขนาดใหญ่ก็โดนดักเทขายทำกำไรเป็นระยะ ส่งผลให้การเคลื่อนตัวของหุ้นยังเป็นลักษณะขึ้นแล้วลง เพียงแต่ยอดสูงสุดใหม่เริ่มมีโมเมนตัมที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมเจ้าค่ะ
*ฉะนั้น การที่ดัชนีอ่อนตัวลงมาปิดที่ 1,522.40 จุด ลบไป 0.11 จุด ด้วยมูลค่า 3.62 หมื่นล้านบาท โดยตลอดทั้งวันพยายามขึ้นไปยืนเหนือแดนบวกตลอดเวลา มันทำให้ประเด็นคริสต์มาสแรลลี่กลายเป็นหมันในทันที และยังโยงไปถึงประเด็นของ window dressing อาจกลายเป็นเพียงประโยคบอกเล่าธรรมดาๆ ซึ่งอาจไม่มีนัยต่อการลงทุนในช่วงเวลาที่เหลืออยู่นะจ๊ะ
*ดูในรายของหุ้นพื้นฐานแน่นปึ้ก AOT ทุกคนให้แวลูค่อนข้างสูง แต่กลับไม่มีใครไล่ราคาหุ้น “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างสำคัญของคนที่อ่านเกมไม่ออก แต่สำหรับคนที่ถนัดเล่นรอบเป็นชีวิตจิตใจ การอ่อนตัวลงมาปิดที่ 394 บาท ลบไป 2 บาท ด้วยมูลค่า 1.32 พันล้านบาท มันเป็นจังหวะของการดูเฉยๆ ต่อจากนั้นรอให้แน่ใจว่า เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาใส่หุ้น ถึงจะเล่นตามในทันทีนะคะ
*เหมือนกับในรายของ PTT ไต่ระดับขึ้นมาปิดที่ 365 บาท บวกไป 2 บาท ด้วยมูลค่า 1.17 พันล้านบาท ถือเป็นไซเคิลของหุ้นที่มาในแบบ “ช้าแต่มั่นคง” จึงเป็นหุ้นที่เหมาะสำหรับพวกนักลงทุนสถาบัน หรือพวกที่มีเงินเย็นเป็นการเฉพาะ เพราะหุ้นวิ่งขึ้นแบบ side way up เป็นเวลาร่วมปี…หากจินตนาการไม่ออก ลองไปดูกราฟช่วงต้นปี 59 ที่ราคาหุ้นอยู่บริเวณ 198 บาท แล้วจะร้องอ๋อล้านเปอร์เซ็นต์…อิอิอิ
*เช่นเดียวกับในรายของหุ้นถุงยางทะลุมิติอย่าง TNR จู่ๆ ก็สำแดงฤทธิ์เดชแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ นักเล่นเลยจับไต๋ได้อย่างรวดเร็วว่า คนที่คอยปั่นกระแสเป็นพวกกองทุน เพราะวันที่ก๊วนดังกล่าวเข้าซื้อ หุ้นตัวนี้ไปแรงทุกที ล่าสุดเห็นหุ้นวิ่งขึ้นมายืนอยู่ที่ 28 บาท บวกไป 1.25 บาท หรือขึ้นไป 4.70% ด้วยมูลค่า 570 ล้านบาท เกี่ยวข้องกับยอดซื้อของนักลงทุนสถาบันหรือไม่…ลองไปคิดกันดูนะคะ
*ส่วนที่ไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้นอย่าง TFG ถือเป็นกรณีศึกษาที่ต้องศึกษาตัวธุรกิจเป็นลำดับแรก ต่อจากนั้นค่อยมองถึงโอกาสทะยานขึ้นของราคาหุ้น หากเข้าใจโมเมนต์ดังกล่าวอย่างลึกซึ้ง ก็ไม่ต้องแปลกใจที่เห็นหุ้นขึ้นมายืนอยู่ที่ 7.25 บาท บวกไป 0.25 บาท หรือขึ้นไป 3.60% ด้วยมูลค่า 650 ล้านบาท เพราะหุ้นกำลังเข้าสู่โหมดย่ำฐาน 7 บาทเพื่อทะยานขึ้นไปอีกนะคะ
*สำหรับในรายของ BIG ก็อยู่ในโหมดของการยกฐานให้สูงขึ้นกว่าเดิม โดยรอบนี้ต้องการขึ้นไปยืนเหนือแนวต้าน 6 บาท ขณะที่ราคาล่าสุดอยู่ที่ 5.80 บาท บวกไป 0.35 บาท หรือขึ้นไป 6.40% ด้วยมูลค่า 280 ล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นความท้าทายของนักโหนกระแสอย่างแท้จริง แถมการขึ้นของหุ้นเที่ยวนี้มาด้วยเรื่องการเติบโตเพียวๆ จึงต้องเคาะขวาให้ทันชาวบ้านพะยะคะ
*ส่วนเสือซุ่มของ PLANB หลายคนเห็นติ๋มๆ เงียบๆ สุดท้ายกระชากขึ้นมาปิดที่ 5.80 บาท บวกไป 0.35 บาท หรือขึ้นไป 6.40% ด้วยมูลค่า 140 ล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นโมเมนต์ที่ไม่ต้องคิดอะไรมากอีกต่อไป แค่ให้รู้ว่า ยอดเก่าอยู่ที่บริเวณ 6.50 บาท การจะขึ้นไปถึงบริเวณดังกล่าวต้องมีแรงซื้อเยอะพอสมควร วันนี้หุ้นถึงต้องเดินหน้าขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ไม่เช่นนั้นโมเมตัมจะเสียนะจ๊ะ
*แพทเทิร์นดังกล่าวเทียบได้กับ TSE ซึ่งเคยออกอาการตุปัดตุเป๋มาพักใหญ่ๆ หลังจากขาดแรงส่งเพื่อยกฐานให้สูงขึ้น หุ้นก็เลยพักฐานที่แนวรับ 5 บาทค่อนข้างนาน ล่าสุดเห็นหุ้นวิ่งขึ้นมายืนที่ 5.75 บาท บวกไป 0.40 บาท หรือขึ้นไป 7.50% ด้วยมูลค่า 280 ล้านบาท พร้อมกับเตรียมตัวทดสอบแนวต้าน 6 บาทเป็นครั้งที่ 2 มันเป็นจังหวะที่ต้องใส่กันสุดลิ่ม หากไปต่อไม่ไหว ถือว่า จบเกมแน่นอนค่ะ
*ตัวอย่างที่ดีสุดในยามนี้ คงเป็นในรายของ KOOL เพราะหุ้นเริ่มมีการฟอร์มตัวเพื่อขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 7 บาทอีกครั้ง ก่อนจะมาถึงตรงจุดนี้อยากบอกให้รู้ว่า ก่อนหน้านี้หุ้นเคยขึ้นไปแตะแนวต้านดังกล่าวปุ๊บ ต่อจากนั้นหุ้นก็ร่วงลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับใช้เวลาที่ฐานแนวรับ 5.20 บาทนานถึง 3 เดือนครึ่ง ขณะที่วานนี้หุ้นขึ้นมายืนอยู่ที่ 6 บาท บวกไป 0.40 บาท หรือขึ้นไป 7% ด้วยมูลค่า 145 ล้านบาท…น่าตามไปดูไหมเอ่ย?
*ป.ล.แม้ดัชนีจะไม่เต็มใจไปแตะขอบฟ้า แต่ยังมีหุ้นอีกหลายตัวที่มีลักษณะ “เรือเล็กควรออกจากฝั่ง” แบบนี้…รออะไรอีกล่ะ…อิอิอิ