KBANKชี้ทางออกผู้ประกอบการรายใหญ่สร้างเครือข่ายพันธมิตรสู้เศรษฐกิจโลก

นายจงรัก รัตนเพียร รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการธุรกิจรายใหญ่ของไทย ได้เสริมความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ผ่านการมีวินัยทางการเงินและความสามารถในการจัดการธุรกิจและบริหารเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นได้จากอัตราการเติบโตของยอดขายและหนี้สินที่สอดคล้องกันอยู่ที่ประมาณ 11% ทั้งยังพบว่าการบริหารต้นทุนปรับตัวดีขึ้น จากการเติบโตของกำไรสุทธิสูงกว่ายอดขายที่ 15% และ 11% ตามลำดับ รวมทั้งมีแนวโน้มของภาระหนี้สินที่ลดลง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงจาก 3.2 เท่าเป็น 2.9 เท่า จึงทำให้มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยสูงกว่า 20 เท่า ชี้ให้เห็นศักยภาพทางการเงินที่จะต้านทานความผันผวนทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี


นายจงรัก รัตนเพียร รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการธุรกิจรายใหญ่ของไทย ได้เสริมความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ผ่านการมีวินัยทางการเงินและความสามารถในการจัดการธุรกิจและบริหารเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นได้จากอัตราการเติบโตของยอดขายและหนี้สินที่สอดคล้องกันอยู่ที่ประมาณ 11% ทั้งยังพบว่าการบริหารต้นทุนปรับตัวดีขึ้น จากการเติบโตของกำไรสุทธิสูงกว่ายอดขายที่ 15% และ 11% ตามลำดับ รวมทั้งมีแนวโน้มของภาระหนี้สินที่ลดลง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงจาก 3.2 เท่าเป็น 2.9 เท่า จึงทำให้มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยสูงกว่า 20 เท่า ชี้ให้เห็นศักยภาพทางการเงินที่จะต้านทานความผันผวนทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมของโลกยังมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินหลัก ประกอบกับสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักในตลาดโลกที่ยังไม่ชัดเจน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องให้ความสำคัญต่อการบริหารต้นทุนและความเสี่ยงเพื่อเสริมภูมิต้านทานทางการเงิน

ทั้งนี้ ธุรกิจจะเติบโตไปได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจผันผวน จำเป็นที่จะต้องรวมกลุ่มเป็นพันธมิตรในเครือข่ายอุตสาหกรรมหรือห่วงโซ่ธุรกิจ (Value Chain) ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่าย และเวลาในการบริหารจัดการที่จะส่งผลโดยตรงต่อต้นทุน ซึ่งการรวมกลุ่มพันธมิตรยังสามารถสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่เป็นต้นน้ำของอุตสาหกรรมหลักซึ่งมีความแข็งแกร่งทางธุรกิจมากที่สุดได้มีการเปิดตลาดในภูมิภาค AEC บ้างแล้ว โดยเห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าโครงการการลงทุนในต่างประเทศจาก 8 แสนล้านบาทเป็นกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งกลุ่มพันธมิตรในห่วงโซ่ธุรกิจสามารถร่วมมือกับผู้นำห่วงโซ่เปิดตลาดในภูมิภาคใหม่ๆ ได้ นับเป็นการช่วยลดความเสี่ยงของการหาตลาดใหม่เองโดยปราศจากเครือข่ายของพันธมิตรทางธุรกิจ

นายจงรัก กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2558 นี้ ธนาคารกสิกรไทยมีแผนขยายเป้าหมายการให้บริการ K-Value Chain Solutions ไปยังธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิเช่น ขนส่ง อาหารและเครื่องดื่ม เกษตรอุตสาหกรรม และธุรกิจค้าส่ง เป็นต้น ผ่านการให้คำแนะนำและการทำจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) เพื่อให้คำตอบที่ครบวงจรแก่ผู้ประกอบการและส่งเสริมการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ดียิ่งขึ้น

สำหรับผลประกอบการของสายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัทปี 2558 นี้ มั่นใจว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้ตามเป้าที่ 4-5% โดยตั้งเป้ารายได้ค่าธรรมเนียมทั้งปีที่ 13% ขึ้นแท่นอันดับ 1 ในการเป็นธนาคารหลักในการทำธุรกรรมของกลุ่มลูกค้าธุรกิจ

Back to top button