ปีความจริงอัสดงทายท้าวิชามาร
พจนานุกรม Oxford เลือกคำว่า “Post-Truth” เป็นคำแห่งปี 2016 เนื่องจากมีการใช้เพิ่มขึ้นถึง 2,000% จากปรากฏการณ์ Brexit และชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมีคำอธิบายว่า “สิ่งอันแสดงถึงสภาวการณ์ที่ข้อเท็จจริงไม่อาจโน้มน้าวความคิดความเชื่อของผู้คนในสังคม ได้เท่าอารมณ์ความรู้สึกและความเชื่อส่วนบุคคล”
ใบตองแห้ง
พจนานุกรม Oxford เลือกคำว่า “Post-Truth” เป็นคำแห่งปี 2016 เนื่องจากมีการใช้เพิ่มขึ้นถึง 2,000% จากปรากฏการณ์ Brexit และชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมีคำอธิบายว่า “สิ่งอันแสดงถึงสภาวการณ์ที่ข้อเท็จจริงไม่อาจโน้มน้าวความคิดความเชื่อของผู้คนในสังคม ได้เท่าอารมณ์ความรู้สึกและความเชื่อส่วนบุคคล”
ฟังแล้วน่าปลื้มใจ ฝรั่งตามก้นไทย เพราะเรา Post-Truth มาก่อนนับสิบปี ปลุกปั่นกันกระทั่งปิดสนามบินปิดเมืองขัดขวางเลือกตั้ง เรียกหารัฐประหาร 2 ครั้ง โดยใช้อารมณ์ความเชื่อ มากกว่าเหตุผลข้อเท็จจริง
ปีที่ผ่านมาเรายัง Post ไปไกล ด้วยการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญถอยหลัง ตั้งความหวังว่า “เว้นวรรคประชาธิปไตย” แล้วจะทำให้บ้านเมืองสงบ ได้ทำมาหากิน ได้ตั้งหลักกันใหม่
ถามจริง เมื่อ “ความจริงอัสดง” แล้วคุณยังจะหวังให้เศรษฐกิจรุ่งเรือง บ้านเมืองสงบ ตั้งหลักทำมาหากินได้อย่างไร ความรุ่งเรืองไม่จำเป็นต้องอยู่บนเหตุผลข้อเท็จจริงเลยใช่ไหม
ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้งนะครับ ประชาธิปไตยคือการปกครองด้วยระบบกฎหมาย ที่ไม่ใช่ใครอยู่เหนือกฎหมาย หรือออกประกาศคำสั่งเป็นกฎหมาย แต่เป็นระบบกฎหมายที่มีหลักการ เหตุผล มีความเสมอภาค ยุติธรรม ผู้ใช้อำนาจต้องรับผิดชอบและตรวจสอบได้
คุณอาจเว้นวรรคการเลือกตั้งได้ แต่คุณเว้นวรรคหลักการประชาธิปไตยไม่ได้ เพราะเท่ากับนำประเทศถอยไปเป็นประเทศที่ไม่มีหลัก การใช้อำนาจขึ้นกับอำเภอใจ เพียงแต่คุณเชื่อและชอบผู้ใช้อำนาจคนนี้เท่านั้น
โดยไม่มีคำตอบว่าเพื่อพ้นจากภาวะชั่วคราวนี้แล้ว “ประเทศดราม่า” จะกลับไปมีหลักได้อย่างไร
เอาง่ายๆ วิธีคิดสังคมไทยวันนี้ย้อนแย้งสับสนในตนเองแค่ไหน คุณเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดี เพราะมีเลือกตั้งตามโรดแมพ แต่ขณะเดียวกันโพลล์ยังชื่นชมลุงตู่ใช้ ม.44 บริหารประเทศอยู่เลย
เลือกตั้งไปทำไม เลือกตั้งพิธีกรรมไม่มีความหมาย แต่สังคมไทยพร้อมใจเป็นลิง เอามือปิดตาตัวเองแล้วคิดว่าคนอื่นมองไม่เห็น มีเลือกตั้งแบบกำจัดนักการเมืองเหี้ยนเตียน เลือกรัฐบาลโดย 250 ส.ว. แล้วจะได้บอกโลกว่าเราเป็นประชาธิปไตยแล้วนะ
เช่นเดียวกันกับทัศนะต่อโลก Post Truth คนจำนวนไม่น้อยคิดว่าทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้มแข้ง เศรษฐกิจโลกกระเตื้อง โดยมองข้ามไปว่า ชัยชนะทรัมป์ทำให้เกิดความแตกแยกทางการเมืองอย่างรุนแรง
พูดอย่างนี้ไม่ใช่มองชัยชนะของทรัมป์ในด้านร้าย แต่อย่าลืมว่าทรัมป์ชนะ เพราะคนอเมริกันไม่พอใจระบบ establishment ประกอบกับไม่พอใจโลกาภิวัตน์ ที่ทำให้ช่องว่างคนรวยคนจนถ่างมาก กระทั่งคนชั้นกลางยังยากลำบาก จึงเกิดกระแสเอียงขวาชาตินิยม เหตุผลเดียวกับ Brexit กระแสนี้ไม่หยุดเพียงแค่ “ชัยชนะของฝ่ายขวา” หรอก
เรื่องตลกคือคนไทยกลับดีใจที่ทรัมป์จะยึดผลประโยชน์อเมริกามาก่อน “ประชาธิปไตย” และ “สิทธิมนุษยชน” ทำราวกับเราเป็นประเทศที่มีอำนาจต่อรองสูง ทรัมป์ต้องเกรงใจ นักวิเคราะห์บางคนดีอกดีใจว่าอเมริกาได้บทเรียน ต่อไปจะไม่เที่ยวมายุ่งตัดสินไทยเรื่องค้ามนุษย์ หรือยุ่งกับดูเตอร์เตฆ่าตัดตอน(จะค้าจะฆ่าก็เรื่องของเรา)
ใครคิดว่าโลกที่เอาอารมณ์และความเชื่อเป็นใหญ่ กติกาการค้าที่มหาอำนาจย้อนกลับไปยึดประโยชน์ตนเอง จะทำให้เศรษฐกิจโตได้ เช่นเดียวกับระบอบการปกครองแต่ผู้เดียว เอาตามความพอใจ ไม่ต้องใช้หลักการเหตุผล จะทำให้ประเทศพ้นกับดัก
ก็บันทึกคำพูดตัวเองไว้นะครับ อาจไม่ต้องรอยาวนักหรอก แม้ปีหน้าเชื่อว่าไม่มีไคลแมกซ์แต่น่าจะได้เห็นอะไรบางอย่าง
ใบตองแห้ง