AMA ลั่นรายได้ปี 60 โตเกิน 50% หลังขยายกองเรือ-กองรถตามแผน
AMA ลั่นรายได้ปี 60 โตเกิน 50% หลังขยายกองเรือ-กองรถตามแผน เผยอยู่ระหว่างเจรจาการขึ้นค่าบริการกับลูกค้า หวังรักษาระดับอัตรากำไร
นายพิศาล รัชกิจประการ กรรมการผู้จัดการ บริษัทอาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ AMA เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจรายได้ปี 60 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% จากปีนี้ ตามแผนการอีก 2 ลำ ขนาด 13,000 เมตริกตันต่อลำ จะเริ่มให้บริการได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/60 เป็นต้นไป ซึ่งเมื่อรวมกับเรือที่ซื้อเข้ามาในเดือนพ.ย. 59 จำนวน 1 ลำ ขนาด 13,000 เมตริกตัน
โดยจะส่งผลให้มีเรือใหม่รวม 3 ลำที่จะเข้ามาเพิ่มเติมทำให้มีปริมาณการบรรทุกรวม 39,000 เมตริกตัน เทียบกับจำนวนเรือที่มีอยู่ 7 ลำก่อนหน้านี้ ที่มีปริมาณการบรรทุกรวม 33,661 เมตริกตัน ถือว่าเป็นการเติบโตกว่าเท่าตัว โดยเส้นทางให้บริการหลักในการขนส่งยังอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออก
นอกจากนี้ยังมีแผนขยายกองรถขนส่ง อีก 80-100 คัน ในช่วงปี 60-61 จาก ณ สิ้นปี 59 จะอยู่ที่ราว 100 คัน โดยส่วนใหญ่ราว 90% เป็นการขนส่งให้กับบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG และส่วนที่เหลืออีก 10% เป็นการขนส่งให้กับบริษัท น้ำมันพืชปทุม จำกัด ขณะเดียวกันยังมีแผนที่จะรับขนส่งสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อขนส่งสินค้าที่เกี่ยวกับสารเคมี ยางมะตอย และน้ำมันปาล์มดิบ เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัทยังคงตั้งเป้าที่จะรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิในปี 60 ไว้ที่ 15-19% และอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 30% โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าเพื่อที่จะปรับขึ้นค่าบริการ เพื่อสะท้อนต้นทุนราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถใช้ค่าบริการใหม่ได้ในช่วงต้นปี 60 ขณะเดียวกันยังคงแผนที่จะให้มีอัตราการเช่าเรือที่ 95% และอัตราการเช่ารถขนส่งที่ระดับไม่ต่ำกว่า 80% ตามสัญญาที่มีกับ PTG เป็นระยะเวลา 5 ปี
“ปี 60 เรามั่นใจมากที่ผลประกอบการจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% เพราะกองเรือที่เพิ่มเข้ามาช่วยให้มีปริมาณการขนส่งรวมเพิ่มกว่าเท่าตัว และปัจจุบันลูกค้าก็เริ่มเร่งเราแล้วให้รีบนำเข้าเรือเข้ามาให้บริการได้แล้ว เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันพืช มีจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันเราจะเจรจาเพื่อปรับค่าระวางเรือขึ้นในช่วงต้นปี 60 เพื่อที่จะให้สะท้อนต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นด้วย นอกจากนี้เรายังคงหาสินค้าใหม่ ๆ ที่เราสามารถขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นยางมะตอย และน้ำมันปาล์มดิบ เข้ามาเพิ่ม ซึ่งหากเราได้ส่วนนี้เข้ามาเพิ่มจะทำให้เราต้องเพิ่มปริมาณรถขนส่งเร็วกว่าที่คาดได้”นายพิศาล กล่าว
ทั้งนี้นอกจากการลงทุนในการขนส่งทางรถ และขนส่งทางเรือแล้ว บริษัทยังมีแผนที่จะลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับโลจิสติกส์เพิ่มเติมด้วย โดยมองทุกๆ รูปแบบ อาทิ ทางรถ ทางเรือ ทางอากาศ และคลังสินค้า
“การขยายส่วนนี้ก็คงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร เพราะหลังจากที่เจ้าของกิจการทั้ง 2 มาคุยกันแล้ว เราก็ต้องเข้าไปตรวจสอบข้างในอีก เรื่องของราคาให้มีความเหมาะสม ซึ่งเราต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรเหมือนกันในการเจรจาซึ่งพอเราเข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนแล้วทุกขั้นตอนต้องมีความชัดเจน ตอนนี้เราจึงยังไม่สามารถบอกได้เลยว่าอันไหนที่ใกล้เคียง ซึ่งเราก็มองหมดทุกซัพพลายเชน”นายพิศาล กล่าว
ขณะที่ภาพรวมการขนส่งในปีหน้านั้น การขนส่งทางเรือนั้นยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืช ในประเทศฟิลิปปินส์ เวียดนาม เมียนมา จีน และอินเดีย ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความต้องการใช้รถขนส่งนั้น เชื่อว่ายังจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะช่วงที่ผ่านมาไม่ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นหรือลง ความต้องการใช้ก็ยังขยายตัว ซึ่งบริษัทก็ได้ร่วมมือกับทาง PTG ถึงแผนการขยายด้วย
“เราไม่ได้กังวลว่าความต้องการใช้บริการขนส่งจะลดลง ทั้งทางเรือและทางรถ เพราะในช่วงที่ผ่านมาการบริโภคน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืช รวมไปถึงน้ำมันเบนซิน และ ดีเซล มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และเราพูดคุยกับลูกค้าถึงแนวทางการขยายอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งสิ่งที่เราสนใจคือการบริหารจัดการต้นทุนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมปริมาณเชื้อเพลิงในการขนส่ง การบริหารจัดการให้มีสินค้าทั้งขาไปและขากลับ และมีการซ่อมบำรุงเรือให้อยู่ในสภาพดี เพื่อลดการจอดเรือซ่อมที่เป็นเหตุฉุกเฉิน”นายพิศาล กล่าว
อนึ่ง AMA เป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทางเรือระหว่างประเทศ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชชนิดต่าง ๆ ไปยังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคเอเชียตะวันออก และบริษัทย่อยให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทางรถในประเทศ ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง และ ไบโอดีเซล (B100)