หุ้นพลังงานหนุน SET บวกต่อเนื่องชู 8 บจ.ฟอร์มสวย แนวโน้มกำไรโต

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตามตลาดต่างประเทศ ขณะที่ Fund Flow ยังคงไหลเข้ามาในภูมิภาค หุ้นในกลุ่มธุรกิจน้ำมันจะเป็นตัวพยุงตลาด หลังราคาน้ำมันดิบรีบาวด์ขึ้นมา 2 วันติดต่อกัน การลงทุนเน้นกลุ่มที่ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น และกลุ่มที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตดี


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.20 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.69 บาทต่อเหรียญ ด้านตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวน ตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงลงตามทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์ก ซึ่งอ่อนตัวลงเพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธุรกิจค้าปลีก

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตามตลาดต่างประเทศ ขณะที่ Fund Flow ยังคงไหลเข้ามาในภูมิภาค หุ้นในกลุ่มธุรกิจน้ำมันจะเป็นตัวพยุงตลาด หลังราคาน้ำมันดิบรีบาวด์ขึ้นมา 2 วันติดต่อกัน การลงทุนเน้นกลุ่มที่ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น และกลุ่มที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตดี หุ้นเด่นเลือก CPF-THAI-KTB-TMB-RJH-BCP-IRPC และ SPRC

 

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยเช้า (6 ม.ค.) นี้มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวก เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลง และ Fund Flow ยังคงไหลเข้ามาในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง จากวานนี้เงินไหลเข้ามาใน 5 ตลาดหลักในภูมิภาค ทั้งตลาดหุ้นไทย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, ไต้หวัน, เกาหลี ประมาณ 278 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าที่เงินไหลเข้ามา 256 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นการไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ มองว่าหุ้นขนาดใหญ่น่าจะขึ้นนำตลาดฯต่อ ส่วนราคาน้ำมันรีบาวด์ขึ้นมา 2 วันติดต่อกัน หลังเมื่อคืนที่ผ่านมามีรายงานสต็อกน้ำมันของสหรัฐฯลดลงมากกว่าคาด พร้อมให้แนวรับ 1,564 จุด ส่วนแนวต้าน 1,575-1,580 จุด

 

บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (6 ม.ค.) การฟื้นตัวของภาคการผลิตทั่วโลก, ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่าเช้านี้อยู่ที่ระดับ 35.68 บาท/ดอลลาร์สหรัฐเป็นปัจจัยช่วยหนุนตลาด ขณะที่เย็นวันนี้ติดตามรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐเดือน ธ.ค. หากออกมาน้อยกว่าคาด จะช่วยลดแรงกดดันประเด็นการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยช่วยหนุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในตลาด Emerging Market

กลยุทธ์การลงทุน วาง Filter แนวรับไว้ที่ระดับ 1,560 จุด กรณียืนได้ดัชนียัง Sideway Up ขึ้นไประดับแนวต้าน 1,575 – 1,600 +/- จุด แนะนำซื้อหุ้นกลุ่มโรงกลั่น เช่น BCP, IRPC และ SPRC (+ ค่าการกลั่นไตรมาส 4/59 +32 % จากไตรมาสก่อน)

 

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (6 ม.ค.) แม้ SET มีแนวโน้ม Sideways up ไปที่แนวต้าน Downtrend line ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2013 บริเวณ 1,585-1,590 จุด ด้วยปัจจัย “บวก” ระยะสั้นจาก 1) Bond yield สหรัฐฯ ที่พักฐานลงมาที่ระดับ 2.3-2.4% จากช่วงปลายปีก่อนที่ 2.6% 2) ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง หนุนหุ้นใหญ่ในกลุ่มพลังงาน อย่าง PTT PTTEP และ 3) กระแสเงินทุนไหลเข้าหนุนหุ้นส่วนใหญ่ปรับสูงขึ้น โดยถ้าพิจารณาจาก Momentum ทางเทคนิคตามรายงาน Trade Code จะเห็นว่ามีหุ้นมากกว่า 90% มี Momentum “บวก” แต่ด้วย Valuation ที่สูง ทำให้ยังมีความกังวลต่อการ “พักฐาน” ในระยะถัดไป

Let profit run หุ้นส่วนที่เหลือ โดยกำหนด Trailing Stop ในการลดพอร์ตที่ 1,542 จุด แนะนำ “ซื้อ” KTB (TP 21 บาท, แนวต้าน 19 บาท, PE ต่ำสุดในกลุ่มที่ 7.9 เท่า และปันผลปีละครั้งที่ 4.8%) และ TMB (TP 2.56 บาท, แนวต้าน 2.32, กำไร Bottom out แล้วในไตรมาส 3/16) ต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ และ “ซื้อ” RJH (TP 29บาท, แนวต้าน 26.75/27.5, กำไร 2016-17 เติบโตเด่นสุดในกลุ่ม 53-29%, และได้ประโยชน์การปรับเพิ่มอัตราเหมาจ่ายรายตัวของประกันสังคม ช่วงกลางไตรมาส 1/16 นี้)

 

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (6 ม.ค.) คาด SET ยังมีโอกาสขึ้นต่อ ปัจจัยหนุนหลักยังเป็นการเข้าซื้อของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่หุ้นในกลุ่มธุรกิจน้ำมันจะเป็นตัวพยุงตลาด หลังราคาน้ำมันดิบยังปรับขึ้นต่อเนื่องในคืนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม คาดว่าการปรับขึ้นของดัชนีเริ่มมี Upside จำกัด เนื่องจากดัชนีที่เพิ่มขึ้นตลอดต่อเนื่องในช่วง 8 วันที่ผ่านมาหรือเพิ่มขึ้นกว่า 4.5% จะจูงใจให้นักลงทุนเริ่มทยอยเทขายทำกำไรกดดันให้ดัชนีเพิ่มขึ้นได้ไม่มาก

หุ้นที่เพิ่มขึ้นแรงในช่วงก่อนหน้าอาจจะพักตัว โดยเฉพาะกลุ่มเหล็ก และสลับกลุ่มเล่นไปยังหุ้นขนาดกลางและเล็กที่ราคาพักตัวไปแล้วและราคายังขึ้นไม่มาก อาทิ กลุ่ม อสังหาฯ กลุ่มเดืนเรือ และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective buy

หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น : CPF (ซื้อ/เป้า 42.00 บาท) คาดกำไรปกติในไตรมาส 4/16 และกำไรทั้งปี 16 จะออกมาโดดเด่นเมื่อเทียบจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน, THAI (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท) คาดไตรมาส 4/16 พลิกมีกำไร และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 1/17

Back to top button