GPSC พื้นฐานดี

GPSC ดำเนินธุรกิจไฟฟ้าในกลุ่มปตท. โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้า (Equity-based) เท่ากับ 1,376 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตไอน้ำ 1,441 ตันต่อชั่วโมง และกำลังการผลิตจะเพิ่มเป็น 1,945 เมกะวัตต์ ภายในปี 2562 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 9% ในช่วงปี 2559-2562 ทั้งนี้ประมาณ 80% ของกำลังการผลิตอยู่ภายใต้สัญญา IPP และ SPP โดยกว่า 50% ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำขายให้กับบริษัทกลุ่มปตท. (ยอดขายให้กลุ่มปตท.และ EGAT กว่า 90% ของรายได้รวม)


–คุณค่าบริษัท–

 

บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ดำเนินธุรกิจไฟฟ้าในกลุ่มปตท. โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้า (Equity-based) เท่ากับ 1,376 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตไอน้ำ 1,441 ตันต่อชั่วโมง และกำลังการผลิตจะเพิ่มเป็น 1,945 เมกะวัตต์ ภายในปี 2562 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 9% ในช่วงปี 2559-2562 ทั้งนี้ประมาณ 80% ของกำลังการผลิตอยู่ภายใต้สัญญา IPP และ SPP โดยกว่า 50% ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำขายให้กับบริษัทกลุ่มปตท. (ยอดขายให้กลุ่มปตท.และ EGAT กว่า 90% ของรายได้รวม)

การเติบโตของบริษัทมาจาก 1) การขยายตัวของธุรกิจในกลุ่มปตท.ที่ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำเพิ่มขึ้น, 2) การลงทุนหรือเข้าซื้อกิจการพลังงานหมุนเวียนเข้ามาเพิ่ม และ3) การลงทุนในต่างประเทศ และบริษัทได้เล็งหาโอกาสขยายเข้าไปในธุรกิจที่จะเข้ามาเกื้อหนุนด้วย เช่น ระบบสะสมพลังงาน (Energy storage)

นอกจากนี้มีการวิเคราะห์กันว่า ผลประกอบการเติบโตแข็งแกร่งในช่วงปี 2559-2561 โดยเฉลี่ยแล้วขยายตัว 29% ต่อปี โดยเป็นผลจาก 1) มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น, และ 2) อัตราค่าไฟฟ้าและไอน้ำที่ขายให้กับลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น สะท้อนการปรับขึ้นของราคาก๊าซ โดยปริมาณการผลิตจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9% ต่อปีไปถึงสิ้นปี 2562 ซึ่งหลักๆ มาจากโรงไฟฟ้าไซยะบุรี ในประเทศลาว ซึ่งคิดเป็น 23% ของกำลังการผลิตของบริษัท ณ สิ้นปี 2559

ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการขยับขึ้นมาอยู่ที่ 5,018.29 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 4,459.41 ล้านบาท โดยจากปริมาณการขายน้ำเย็นที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 724.18 ล้านบาท หรือ 0.48 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 565.85 ล้านบาท หรือ 0.43 บาทต่อหุ้น

ส่วนผลการดำเนินงานงวดเก้าเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการทั้งสิ้น 15,730.01 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 17,123.50 ล้านบาท แต่บริษัทกับมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2,281.25 ล้านบาท หรือ 1.52 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,570.93 ล้านบาท หรือ 1.19 บาทต่อหุ้น แสดงให้เห็นคุณภาพของการทำกำไรได้ดี

ในขณะที่นักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส เริ่มต้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาพื้นฐาน 12 เดือนข้างหน้าไว้ที่ 42 บาท (DCF) จุดเด่น คือ มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ดีโดยมีสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ซื้อรายใหญ่ที่มีศักยภาพ คือ EGAT และกลุ่ม PTT บริษัทมีการเติบโตที่ต่อเนื่องในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า ฐานะการเงินแข็งแกร่ง โครงสร้างผู้ถือหุ้นแข็งแรง (PTTGC ถือหุ้น 22.7%, PTT ถือ 22.6%, TOP ถือ 20.8%)

 

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

1.บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) 340,565,223 หุ้น 22.73%

2.บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 338,266,861 หุ้น 22.58%

3.บริษัท ไทยออยล์เพาเวอร์ จำกัด 311,425,457 หุ้น 20.79%

4.บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) 133,468,059 หุ้น 8.91%

5.กองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นระยะยาว 21,467,700 หุ้น 1.43%

 

รายชื่อกรรมการ

1.นาย สุรงค์ บูลกุล ประธานกรรมการ

2.นาย เติมชัย บุนนาค กรรมการผู้จัดการใหญ่

3.นาย เติมชัย บุนนาค กรรมการ

4.นาย ชวลิต พันธ์ทอง กรรมการ

5.นาย สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ กรรมการ

Back to top button