IFEC แสงสว่างที่ขอบเมฆแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
วันที่ 25 มกราคม 2560 ซึ่งเป็นวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นตามที่กำหนด คือวันชี้ชะตาอนาคตของบริษัทและราคาหุ้นบริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IFEC อย่างแท้จริง
วันที่ 25 มกราคม 2560 ซึ่งเป็นวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นตามที่กำหนด คือวันชี้ชะตาอนาคตของบริษัทและราคาหุ้นบริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IFEC อย่างแท้จริง
เช่นเดียวกัน เป็นวันชี้ชะตากรรมของ นพ.วิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ประธานกรรมการบริษัท IFEC โดยปริยายด้วย
เพียงแต่ ชะตากรรมของหมอวิชัยกับ IFEC นั้น ดูจะออกมาในรูป Win-Loss หรือไม่ก็ Loss-Loss เท่านั้น
เรื่องที่จะ Win-Win ดูจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว…เมื่อมาถึงยามนี้
เหตุผลก็อย่างที่รู้กันว่า ความขัดแย้งในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ กับผู้บริหาร และปัญหาการเงินที่สุมรุมเร้ามาเพราะการบริหารที่ล้มเหลวในสองเดือนมานี้ มีส่วนกัดกร่อนศรัทธาของนักลงทุนและผู้ถือหุ้นรายย่อยกว่า 30,000 รายอย่างรุนแรง
ราคาหุ้นที่ร่วงลงมาเกือบหลุด 3.60 บาทเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา บอกความนัยได้มากเหลือเกิน
นับแต่ตั้งแต่การเปิดศึก “สงครามในที่ประชุมกรรมการและผู้บริหาร” หรือ Boardroom Battle ที่ทำให้นายสิทธิชัย พรทรัพย์อนันต์ ผู้มีส่วนปลุกปั้น IFEC ยุคที่ 2 จนโด่งดังเมื่อ 2 ปีก่อน กลายเป็นอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารไป พร้อมกับเหลือหุ้นในมือต่ำกว่า 5% ดูเหมือนว่า IFEC จะมีแต่วิบากกรรม 2 เรื่องหลัก
-การสาดโคลนใส่ไคล้กันไปมาจนไม่มีใครรู้ว่าระหว่างหมอวิชัย กับ นายสิทธิชัย ใครคือพระเอก หรือ ผู้ร้าย
-ปัญหาความเสียหายด้านภาพลักษณ์ที่ร้ายแรง เพราะว่า ผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบี/อี ระยะสั้น 2 สัญญา มูลค่ารวม 400 ล้านบาท
วิบากกรรมแรกนั้น เริ่มต้นโดยหมอวิชัยออกโรงทั้งโดยอ้อมและโดยตรงก่อน ด้วยข้อกล่าวหาว่า ปัญหา “หมักหมม” ที่นายสิทธิชัยทิ้งเอาไว้ มีหลายเรื่อง เช่น 1) การซื้อโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ 3.5 พันล้านบาท มีการซ่อนเงื่อนยักย้ายหาประโยชน์เข้าพรรคพวกแบบ “มีนอกมีใน” เพราะที่ผ่านมา 1 ปีของการเทกโอเวอร์กิจการ กลับไม่มีใครสามารถเข้าไปตรวจสอบการบริหารภายในได้ เพราะเอกสารทุกอย่างอยู่ในมือนายสิทธิชัย 2) การลาออกจากบริษัทแม่ของนายสิทธิชัย แต่ยังนั่งเป็น “ไอ้เข้ขวางคลอง” ในบริษัทย่อยทำให้ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่
ข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้น เป็นความพยายามหลบเลี่ยงการพูดถึงปฏิบัติการ “ขายหุ้นทิ้งแข่งกัน” ระหว่างหมอวิชัย และนายสิทธิชัย ตลอดปี 2559
ข้อกล่าวหาแรกนี้ กลุ่มนายสิทธิชัย ออกมาตอบโต้เฉพาะประเด็นที่ “ถูกพาดพิง” ไม่ได้สร้างข้อกล่าวหาใหม่อะไรขึ้นแต่เรียกร้องให้มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นขึ้นเพื่อพิจารณาแต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติมและพิจารณาเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพราะถือว่าการเรียกประชุมกรรมการฉุกเฉินและมีมติแต่งตั้งกรรมการบริษัทแทนกรรมการบริษัทที่ยื่นจดหมายลาออกจากการเป็นกรรมการจำนวน 3 ราย เพื่อเปลี่ยนแปลงรายชื่อกรรมการที่มีอำนาจในการลงนามผูกพันบริษัท หลังจากนายสิทธิชัยลาออกไปแล้วจาก IFEC ของหมอวิชัย เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับบริษัท
ข้อเรียกร้องดังกล่าว เป็นผลให้เกิดการประชุมวิสามัญ ในวันที่ 25 มกราคมดังกล่าว
ส่วนวิบากกรรมหลัง การผิดนัดชำระตราสารหนี้ประเภทตั๋วแลกเงิน (B/E) มูลค่า 200 ล้านบาทครั้งแรก ถูกซ้ำเติมด้วยการผิดนัดครั้งที่สองในวันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคาที่ที่ผานมาอีกคำรบหนึ่งในมูลค่าเท่ากัน
ในครั้งแรกนั้น IFEC โดยหมอวิชัย ชี้แจงกับตลาดฯว่า “การผิดนัด ตั๋วบี/อี เกิดจากปัญหาทางเทคนิค เพราะ “หมุนเงินไม่ทัน” …เนื่องจากมีความผิดพลาดในการประมาณการระยะเวลาของแหล่งเงินทุนที่จะได้มา ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ตามตั๋วแลกเงินดังกล่าวได้ ….จึงขอขยายระยะเวลาชำระหนี้ออกไป โดยจะคำนวณดอกเบี้ยจนถึงวันที่ชำระเงินครบทั้งจำนวน”
ครั้งที่สองนี้ หมอวิชัยก็ให้เหตุผลซ้ำเดิมอีกครั้ง
การทำผิดซ้ำโดยลืมไปว่า บริษัทจดทะเบียนมหาชน มีฐานะที่นักลงทุนทั่วไปในโลกชี้ว่ามันคือการ “ทำเหมืองทองของชื่อเสียง” (Reputation Mining) เมื่อใดก็ตามที่คำมั่นสัญญาถึงอนาคตถูกละเมิด (เสมือนเหมืองทองที่ว่างเปล่า) เมื่อนั้น วิกฤติศรัทธาจะตามมา และคนให้คำมั่นสัญญาจะต้องถูกลงโทษหนักสถานเดียว …ในข้อหา “เด็กเลี้ยงแกะ”
การเสียชื่อเสียงในการนัดชำระหนี้ …ไม่เรียกว่าการปิดเหมืองหน้าด้านๆ..จะให้เรียกเป็นอย่างอื่น…คงยาก
การประชุมวิสามัญของ IFEC วันที่ 25 มกราคมนี้ ผู้ถือหุ้นของ IFEC มีทางเลือก 2 อย่างเท่านั้นคือ
1) ให้หมอวิขัย ลอยนวล นั่งบริหาร IFEC ต่อไป ส่วนอนาคต IFEC…ช่างหัวมัน
2) เอาหมอวิชัยออกจากทุกตำแหน่งของ IFEC (เพราะถือหุ้นต่ำกว่า 3% ในตอนนี้แล้ว) เพื่อให้โอกาสกรรมการและผู้บริหารชุดใหม่ เข้ามานั่งสะสางปัญหาและฟื้นกิจการเพื่ออนาคตบ้าง
มีแต่ 2 ทางเลือกนี้เท่านั้น …ที่ชี้ว่า IFEC จะเดินหน้าลงสู่ขุมนรก หรือลอยขึ้นสู่สวรรค์
ด้วยเสียงชี้ชะตาที่แท้จริง ด้วยความกล้าหาญ จากมติของผู้ถือหุ้นที่ “ติดดอย” กันทั่วหน้า
“อิ อิ อิ”