ราคาน้ำมันขาขึ้นพลวัต 2017
คำปรามาสที่เคยออกจากปากของ “ผู้เชี่ยวชาญ” ด้านตลาดน้ำมันทั่วโลกว่า ข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปก ซึ่งจะเริ่มปรับลดตั้งแต่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน ปีนี้ เริ่มคนใส่ใจน้อยลงเพราะดูเหมือนว่า จนถึงล่าสุด ชาติที่ร่วมกันทำข้อตกลงยังคงเดินหน้าเอาจริงเอาจังกับการลดกำลังการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป
วิษณุ โชลิตกุล
คำปรามาสที่เคยออกจากปากของ “ผู้เชี่ยวชาญ” ด้านตลาดน้ำมันทั่วโลกว่า ข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปก ซึ่งจะเริ่มปรับลดตั้งแต่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน ปีนี้ เริ่มคนใส่ใจน้อยลงเพราะดูเหมือนว่า จนถึงล่าสุด ชาติที่ร่วมกันทำข้อตกลงยังคงเดินหน้าเอาจริงเอาจังกับการลดกำลังการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ผลลัพธ์คือ ราคาน้ำมันดิบที่ทำท่าจะปรับฐานหลังจากพุ่งแรง ก็มีอาการลงไม่เป็น และทำท่าว่าอาจจะปรับตัวเป็นขาขึ้นแบบยั่งยืนตลอดปีนี้ โดยมีเป้าหมายที่เป็นหลักหมุดสำคัญคือ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
แม้ว่าการวิ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบทั่วโลก อาจะถูกหยุดยั้งลงจากการที่แท่นขุดเจาะน้ำมันด้วยวิธีใหม่ในสหรัฐ ซึ่งเป็นชาตินำเข้าน้ำมันสำคัญของโลก ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 10 แล้ว แต่การเพิ่มของผลผลิตน้ำมันดิบ ไม่ได้มีผลต่อสต๊อกน้ำมันดิบในคลังสำรองของรัฐบาลอเมริกันมากนัก เหตุผลก็เพราะว่า ถูกหักกลบด้วยการที่ โรงกลั่นเพิ่มอัตราการกลั่นในช่วงที่มีความต้องการใช้น้ำมันสูง ทำให้ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐลดลง
การปรับลดปริมาณผลผลิตของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกซึ่งมีผลเป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยที่ล่าสุดซาอุดีอาระเบีย และอิหร่านให้ความเชื่อมั่นว่าข้อตกลงจะบรรลุผล ในขณะที่คูเวตออกมายืนยันว่าบริษัทผู้ผลิตน้ำมันของรัฐบาลจะปรับลดกำลังการผลิตในไตรมาสแรกของปี
การประชุมกลุ่มโอเปก ณ กรุงเวียนนา ในช่วงกลางเดือนนี้ จึงมีแนวโน้มราบรื่นกว่าทุกครั้ง หลังจากที่สำนักข่าว Reuters คาดการณ์ปรับลดการผลิตน้ำมันดิบลงมาอยู่ที่ 34.18 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนธันวาคม 2559 จากระดับ 34.38 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนพฤศจิกายน 2559
มาถึงวันนี้ คำพูดที่หลายคนไม่อยากจะเชื่อคือ ตลาดน้ำมันเริ่มเป็นตลาดขาขึ้นระลอกใหม่ กำลังเป็นจริงขึ้นมา กลายเป็น ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ครั้งใหม่กันอีกแล้ว
นักวิเคราะห์จากเกือบทุกสำนักด้านราคาน้ำมัน พากันคาดการณ์เชิงบวกต่อตลาดที่ชัดเจนเป็นเอกฉันท์มากขึ้น และคนที่พูดทำนองนี้ ล้วนเป็นคนที่เคยพูดถึงราคาน้ำมันดิบที่ระดับ 20 ดอลลาร์เมื่อต้นปีที่ผ่านมาทั้งสิ้น
ราคาน้ำมันดิบที่เคยมีคนเชื่อว่าจะมีค่าเฉลี่ยที่ระดับ 52.5-57.0 ดอลลาร์ในปีนี้ ตอกย้ำว่า ตลาดน้ำมันนปีนี้ จะถึงช่วงเวลาสิ้นสุดภาวะน้ำมันล้นตลาดที่ได้ดำเนินมากว่า 2 ปีแล้ว หลังจากเกิดข้อตกลงที่ลดกำลังการผลิตน้ำมันทั่วโลก ซึ่งทำให้เกิดการเข้าสู่ภาวะขาดแคลนน้ำมันเร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้มุมมองของตลาดเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยกังวลกับสต๊อกน้ำมันจำนวนมาก และราคาที่อาจทรุดตัวลง
คำถามว่า ดุลยภาพของอุปทาน-อุปสงค์น้ำมันจะกลับมาได้ในปีนี้ แม้จะไม่ได้เกิดจากธรรมชาติของตลาด แต่มาจาก “มือที่มองเห็น” ของข้อตกลงชาติส่งออกน้ำมันดิบทั่วโลก แต่คำเตือนสติที่ว่า การวิ่งขึ้นของราคาน้ำมันที่แรงเกินไปในระยะอันสั้นอาจสร้างแรงจูงใจใหม่ให้โลกกลับมาเผชิญกับภาวะน้ำมันล้นตลาดอีกครั้งหนึ่งได้ในช่วงถัดไป ก็เป็นสิ่งที่พึงสดับรับฟัง
ผลพวงจากการเปลี่ยนมุมมอง มีโอกาสที่จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในโลกพุ่งขึ้นต่อไปอีกเข้าสู่ระดับสูงสุดใหม่ในรอบหลายเดือนข้างหน้า มีข้อดีที่ต้องกล่าวถึงอย่างมีนัยสำคัญคือ ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น ส่งผลต่อเนื่องทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกได้รับอานิสงส์ตามไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่พ้น เป็นข่าวดีทางอ้อมที่ส่งต่อมายังชาติกำลังพัฒนาที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์เป็นสินค้าขาออกสำคัญ
ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ไม่เพียงแต่ทำให้ราคาสินค้าทั่วโลกดีขึ้น แต่ยังจะทำให้ยุคของเงินฝืดและดอกเบี้ยต่ำติดพื้นจบสิ้นลง ย่างเข้าสู่เส้นทางใหม่ของยุคเงินเฟ้อและดอกเบี้ยสูงในระยะต่อไป
ในสองปีมานี้ ราคาน้ำมันที่ร่วงลงมารุนแรงเป็นปฐมเหตุของปัญหาตลาดหุ้นผันผวนรุนแรงทั่วโลกเพราะว่า สาเหตุที่แท้จริงของการที่ราคาน้ำมันดิ่งเหวไม่ได้เกิดขึ้นจากธรรมชาติของอุปทานและอุปสงค์อย่างเดียว แต่เกิดจากสงครามแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดระหว่างซาอุดีอาระเบียกับสหรัฐเป็นสำคัญ
สหรัฐและชาติสมาชิกโอเปกนำโดยซาอุดีอาระเบีย ได้ลงมือประกาศสงครามราคาอย่างไม่เป็นทางการ ด้วยเหตุผลที่ไม่เปิดเผย แต่ในระหว่างที่ราคาน้ำมันเริ่มดิ่งเหวนั้น ชาติสมาชิดโอเปกนำโดย อิรัก และซาอุดีอาระเบียพากันขุดน้ำมันออกมาขายอย่างหนักจนเกินจำนวนเป้าหมายวันละ 31.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นประมาณล้านบาร์เรลต่อวัน
ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกพุ่งขึ้น ฝ่าแนวต้านกลับมายืนแข็งแกร่ง มีส่วนทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้รับอานิสงส์ทางอ้อมไปด้วย ในฐานะเงินสกุลกลางที่ใช้ซื้อขายน้ำมัน
ดุลยภาพของตลาดกลับมาเร็วเกินคาด ถือเป็นข่าวดีที่เกินกว่าตลาดน้ำมัน หรือสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรง แต่ยังส่งผลทางอ้อมต่อบรรยากาศตลาดหุ้นโดยปริยาย
ความเชื่อเก่าแก่ที่ว่า ราคาน้ำมันขึ้น คือความเสียหายต่อเศรษฐกิจ และราคาหุ้น ไม่มีใครเชื่ออีกแล้ว