EFORL ค่าโง่ในหลุมดำแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
เช้าวันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2560 ราคาหุ้นบริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ร่วง 12.90% หลังผิดนัดชำระหนี้ตั๋ว B/E วงเงิน 200 ล้านบาท เพราะว่ามีข่าวร้าย จากเจ้าหนี้ และกุนซือรายสำคัญ บลจ.โซลาริส จำกัดผู้ช่ำชองธุรกิจรับซื้อตั๋วแลกเปลี่ยนหรือ บี/อี ประเภท "เสี่ยงสูงดอกเบี้ยสูง" แจ้งต่อนักลงทุนว่า EFORL ไม่สามารถชำระคืนตั๋วแลกเงินมูลค่าหน้าตั๋ว 200 ล้านบาท ในวันที่ 12 มกราคม 2560 ได้
เช้าวันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2560 ราคาหุ้นบริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ร่วง 12.90% หลังผิดนัดชำระหนี้ตั๋ว B/E วงเงิน 200 ล้านบาท เพราะว่ามีข่าวร้าย จากเจ้าหนี้ และกุนซือรายสำคัญ บลจ.โซลาริส จำกัดผู้ช่ำชองธุรกิจรับซื้อตั๋วแลกเปลี่ยนหรือ บี/อี ประเภท “เสี่ยงสูงดอกเบี้ยสูง” แจ้งต่อนักลงทุนว่า EFORL ไม่สามารถชำระคืนตั๋วแลกเงินมูลค่าหน้าตั๋ว 200 ล้านบาท ในวันที่ 12 มกราคม 2560 ได้
ตามกระแสผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบี/อีชนิดไม่ยอมตกยุคเลย….
เรื่องชั่วๆ อย่างนี้ เลียนแบบกันง่ายเหลือเกิน…. เพราะไม่มีลิขสิทธิ์ ใครก็ทำได้ ถ้าด้านพอ
ผลลัพธ์ตามมาคือ หุ้น EFORL ราคาร่วงลง 12.90% มาอยู่ที่ 0.27 บาท ลดลง 0.04 บาท มูลค่าซื้อขาย 56.84 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.04 น. อันเป็นช่วงเวลาเปิดตลาดที่ 0.27 บาท
ราคาหุ้น EFORL ที่เดิมก็เลวร้ายเข้าขั้น “มารเรียกลุง” อยู่เดิม เลยกลายเป็นหุ้น “มารเรียกป๋า” โดยทันที เปลี่ยนสถานภาพกะทันหัน
ทันทีทันควัน เจอไม้นี้เข้า ตัวแทนของผู้บริหาร EFORL ก็รีบแจ้งด่วนต่อตลาดฯว่า ตามที่ บลจ.โซลาริส แจ้งต่อนักลงทุนว่า EFORL ไม่สามารถชำระคืนตั๋วแลกเงินมูลค่าหน้าตั๋ว 200 ล้านบาท ในวันที่ 12 มกราคม 2560 ตามข้อเท็จจริงว่า EFORL ได้ประสานงานกับ บลจ.โซลาริส เพื่อชำระเงิน และไถ่ถอนตั๋วแลกเงินเลขที่ 010/2016 จำนวน 200 ล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 12 มกราคม 2560 โดยบลจ.โซลาริส ตกลงจัดหาแหล่งเงินเพื่อการรีไฟแนนซ์ตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวข้างต้นให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2560
พูดข้อมูลอย่างนี้ แสดงว่า ทั้ง EFORL และบลจ.โซลาริส รู้มาแล้วก่อนหน้าว่าอาจจะเกิดปัญหาได้
คำถามคือ แล้วเกิดอะไรใต้พรม จนกลายเป็นปฏิบัติการ “กินที่ลับ ไขที่แจ้ง” เสียมารยาทอย่างที่ออกมาเป็นข่าวร้าย จนถึงขั้นต้อง…ออกประกาศกล่าวหาว่า พฤติการของผู้ออกตั๋วมีความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้
ข้อมูลของ EFORL ยืนยันว่าการที่บริษัทไม่ได้ชำระคืนตั๋ว B/E ชุดนี้เป็นความผิดพลาดทางเทคนิค เพราะ…บลจ.โซลาริสได้แจ้งให้บริษัททราบปัญหาอย่างกะทันหันเมื่อวานนี้เวลาประมาณบ่าย 15.00 น. ทำให้บริษัทเตรียมตัวจัดหาแหล่งเงินมาชำระคืนตั๋ว B/E ให้กับบลจ.โซลาริส ไม่ทัน แม้ว่าที่ผ่านมาบริษัทและบลจ.โซลาริสมีการพูดคุยกันระหว่างทางเกี่ยวกับตั๋ว B/E มาอย่างต่อเนื่อง
หาข้ออ้างได้สมตามสูตรเปี๊ยบ…. พูดอีก ก็ถูกอีก
งานนี้เล่นเอานายธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ ซีอีโอ ของ EFORL เกิดอาการเก้าอี้ร้อนกะทันหัน ต้องออกมาแก้ข่าวกันโรค “คันคะเยอ” ระบาดลามปาม ยืนว่า ในช่วงบ่ายวันศุกร์บริษัทจะประชุมกับบลจ.โซลาริส เพื่อหาข้อสรุปแนวทางการชำระคืนหนี้ตั๋ว B/E ให้กับบลจ.โซลาริส การที่บริษัทไม่ได้ชำระคืนตั๋ว B/E ชุดนี้เป็น “ความผิดพลาดทางเทคนิค”
ที่บอกอ้างเช่นนั้น เพราะ บลจ.โซลาริสได้แจ้งให้บริษัททราบปัญหาอย่างกะทันหันเมื่อวานนี้เวลาประมาณบ่าย 15.00 น. ทำให้บริษัทเตรียมตัวจัดหาแหล่งเงินมาชำระคืนตั๋ว B/E ให้กับบลจ.โซลาริส ไม่ทัน แม้ว่าที่ผ่านมาบริษัทและบลจ.โซลาริสมีการพูดคุยกันระหว่างทางเกี่ยวกับตั๋ว B/E มาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับคนนอก ฟังแล้วอาจจะงงๆๆๆ แล้วเออออไปตามเพลง… แต่นักการเงินมือเก๋า หัวร่อแทบตกเก้าอี้กับคำอธิบายของ ซีอีโอ ธีรวุทธิ์… เพราะมันตลกชนิด “มุกแป้ก” ธรรมดานี่เอง
การออกตั๋วบี/อี แบบหน้ามืดของบริษัทที่ขาดสภาพคล่องเงินสด ในรูป non-rating short-term debt นั้น ในยามที่ดอกเบี้ยต่ำ บริษัทเจ้าของผู้ออกตั๋ว จะใช้วิธี “หมุนหนี้” หรือ rolling over กันไปเรื่อยๆ ตามจังหวะรอบอายุ ต่อกันไปมาจนคุ้นเคย
ปัญหามันจะเริ่มชะงักงันตอนที่ดอกเบี้ยเริ่มโงหัวเป็นขาขึ้นนี่แหละ จะกลายจาก “ความสะดวก” เป็นความเสี่ยงทันที
ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
ข้ออ้างของ EFORL เมื่อวันศุกร์ (ก่อนที่จะมอบตั๋วชำระหนี้ทั้งหมด ไม่มีงอแง) ที่ว่า “บริษัทมีความพร้อมที่จะจ่ายคืนตั๋ว B/E ได้อย่างแน่นอน ซึ่งบริษัทมีความพร้อมทั้งในเรื่องสภาพคล่องและมูลค่าสินทรัพย์ที่จะสามารถรองรับการมาชำระคืนตั๋ว B/E โดยจะต้องรอความชัดเจนหลังการประชุมกับโซลาริสในช่วงบ่ายวันนี้ก่อน…” ก็ไม่มีความหมายอะไร
ยิ่งตามมาด้วยการสรุปแบบ “เอาดีฝ่ายเดียว” ของนายธีรวุทธิ์ แบบหัวฟัดหัวเหวี่ยง ที่ว่า
” … ผมมองว่าเขาทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งก็อยากทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงทำแบบนี้…” ก็เป็นแค่ “ผายลมผิดที่” เท่านั้นเอง
แล้วบททิ้งท้ายที่ออกมาว่า ….ขอยืนยันว่า EFORL ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้รายใดและมีฐานะการเงินที่มั่นคงแข็งแกร่ง มีผู้ถือหุ้นหลักที่มีความสามารถในการสร้างธุรกิจให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ได้รับความเชื่อถือจากสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศ และพร้อมให้การสนับสนุนการประกอบการของ EFORL ในทุกด้าน ….ก็เป็นสูตรสำเร็จงานประชาสัมพันธ์ธรรมดา
ปัญหาตั๋ว บี/อีของ EFORL ที่ผ่านวิกฤตเฉพาะหน้าไปได้ ช่วยทำให้ภาพลักษณ์ไม่เลวกว่าเดิม และทำให้ราคากระเตื้องขึ้นมา จากราคาต่ำสุดของวัน 1 ช่อง ปิดที่ 0.28 บาท แต่…. โจทย์ใหญ่ในระยะยาว ยังไม่เปลี่ยนแปลงเลย
นั่นคือ เมื่อใด และอย่างไร ฐานะของ EFORL ที่เคยวาดหวังเมื่อ 3 ปีก่อนว่าจะเป็น “ไข่ทองคำ” หลังการกู้เงินมาซื้อกิจการเพื่อความงามหวังเร่งการเติบโตทางลัด แต่กลับพลิกเป็น “ไข่เน่า” …. สามารถจะกลับเป็น “ไข่ทองคำ” ครั้งใหม่
คำตอบวังเวงยิ่งนัก
ตลอดปี 2559 เราได้เห็นงบการเงินที่เลวร้ายลงฮวบฮาบของ EFORL จากตัวเลขขาดทุนสุทธิที่ปิดไม่มิดทั้งจากต้นทุนการเงิน และจากการขาดทุนของ “ความหวังใหม่” วุฒิศักดิ์คลินิก ที่รายได้จากธุรกิจความงามดังกล่าว มีอัตราการเติบโตที่ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี จากปกติที่เติบโตปีละ 10-20% แต่กลับลดลงในปีนี้ถึง 5-7% เนื่องจากลูกค้าเป้าหมายมีกำลังซื้อลดลง
งบการเงินงวด 9 เดือนที่มียอดหนี้ 4.117 พันล้านบาท เทียบกับส่วนผู้ถือหุ้นที่เหลือเพียง 1.44 พันล้านบาท ทำให้ค่าดี/อี กระฉูดมากกว่า 3 เท่า
ตัวเลขงบไม่สวยและภาระหนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เป็น “แรงผลักดันของลูซิเฟอร์” ทำให้ผู้บริหาร EFORL กระโดดเข้าร่วมวงกับตลาด non-rating B/E ไม่ว่าโดยเจตนาหรือบังเอิญ…ในลักษณะของ “ตีตั๋วเที่ยวเดียว ไม่มีขากลับ”
ความเสื่อมทรุดจากปัญหาต้นทุนการเงิน และการขาดทุนที่แพร่ระบาดของ EFORL ที่มาจากจินตนาการวิ่งเร็วกว่าความจริงถือเป็น “ค่าโง่” แสนแพงด้วยประการฉะนี้
ยังไม่เอวัง แต่ยังไม่ต้องเรียกพระมาสวด
“อิ อิ อิ”