พาราสาวะถี อรชุน
เกิดคำถามว่าทำไมข้อเสนอของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จึงมีการขานรับกันอย่างเซ็งแซ่จากคนของพรรคเพื่อไทย แม้กระทั่งแกนนำของคนเสื้อแดง คำตอบที่ไม่ต้องสืบค้นอะไรมาก เพราะบิ๊กป้อมแม้จะดูดุดัน ขึงขังในบางครั้ง แต่โดยภาพรวมและเบื้องหลังที่ถือเป็นคนเดินเกมการเมืองเป็น ถือเป็นคนที่ประนีประนอมและพร้อมที่จะพูดคุยกับทุกฝ่าย
เกิดคำถามว่าทำไมข้อเสนอของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จึงมีการขานรับกันอย่างเซ็งแซ่จากคนของพรรคเพื่อไทย แม้กระทั่งแกนนำของคนเสื้อแดง คำตอบที่ไม่ต้องสืบค้นอะไรมาก เพราะบิ๊กป้อมแม้จะดูดุดัน ขึงขังในบางครั้ง แต่โดยภาพรวมและเบื้องหลังที่ถือเป็นคนเดินเกมการเมืองเป็น ถือเป็นคนที่ประนีประนอมและพร้อมที่จะพูดคุยกับทุกฝ่าย
โดยเฉพาะกับคนในระบอบทักษิณ ข่าวที่เล็ดลอดออกมาหลายครั้งว่าพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์บินไปเจอนายใหญ่คงไม่ใช่แค่ข่าวลือ นี่คือความเป็นจริง แม้จะมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างไร แต่หากไม่อยากให้เกิดปัญหาหรือแรงกระเพื่อมจากฝ่ายที่เป็นขั้วตรงข้าม การตั้งโต๊ะเจรจายื่นหมูยื่นแมวในลักษณะสมประโยชน์ทั้งสองฝ่ายหรือวิน-วินเกม จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แน่นอนว่า เมื่อพูดถึงน้ำหนักความน่าเชื่อถือหรือบารมีของบิ๊กป้อมในฐานะพี่ใหญ่ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ต้องมีความน่าเชื่อถือสำหรับบุคคลที่เรียกไปพบหรือเดินทางไปเจรจาด้วย หากจะไม่มั่นใจก็คงจะเป็นเพียงแค่เหตุผลเดียวคือวันนี้พี่น้องยังรักกันดูดดื่มเหมือนที่ผ่านมาหรือเปล่า หากยังเหนียวแน่นก็คงไม่มีอะไรให้ต้องคิดมาก
ฟังจากบิ๊กตู่พูดหลังประชุมครม.วันวาน การขับเคลื่อนเรื่องปฏิรูป ยุทธศาสตร์ชาติและสร้างความปรองดองภายใต้คณะกรรมการชื่อย้าวยาวที่ย่นย่อแล้วเรียกว่าป.ย.ป.น่าจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง โดยท่านผู้นำจะใช้อำนาจตามมาตรา 44 แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาขับเคลื่อนงานในแต่ละด้าน ทั้งนี้ มีการขอร้องให้แต่ละฝ่ายว่าอย่าเร่งรีบและหวังผลในทันทีทันใด
สำหรับเวทีปรองดองที่บิ๊กป้อมรับหน้าเสื่อเป็นหัวเรือใหญ่นั้น เหมือนอย่างที่บิ๊กตู่บอกไปแล้วเมื่อวันก่อน ต้องให้พรรคเมืองและกลุ่มการเมืองมาทำสัญญาประชาคมและสัจวาจา โดยที่ท่านผู้นำตั้งคำถามไปยังฝ่ายการเมืองอีกครั้งว่า การปรองดองขึ้นอยู่กับตัวของบุคคลและจิตใจว่าต้องการให้ประเทศชาติเกิดความสงบสุขหรือไม่
ก่อนที่จะย้ำท่าทีและจุดยืนของรัฐบาลไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับผู้ใด แต่เป็นผู้อำนวยการความสะดวก จัดเวทีพูดคุยเพื่อให้นักการเมืองเสนอแนวทางลดความขัดแย้ง ซึ่งไม่ใช่เป็นการบังคับ และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน พร้อมขออย่าพูดเรื่องนิรโทษกรรมในขณะนี้ เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะมาพูดเรื่องดังกล่าว ความจริงก็ควรต้องเป็นเช่นนั้น เพราะแกนนำกลุ่มการเมืองเองก็ไม่อยากจะรับข้อเสนอพรรค์นี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สำหรับเงื่อนเวลาพูดคุยเพื่อให้เกิดการปรองดองนั้น ฟังจากท่านผู้นำเป็นคำพูดที่ระบุมาจากบิ๊กป้อมขอเวลา 3 เดือน ถือเป็นห้วงเวลาที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป จากนี้ภาระหลักและหนักจึงตกไปอยู่บนบ่าของพลเอกประวิตร จะสามารถเจรจาพูดคุยที่ในเบื้องต้นคาดว่าน่าจะเป็นการแยกวงคุยกันก่อน ไม่น่าจะเชิญทุกกลุ่มหรือพรรคการเมืองมาเผชิญหน้ากัน
เพราะหากมองย้อนกลับไปกับภาพเหตุการณ์ตั้งโต๊ะเจรจา 2 วันก่อนเกิดการยึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 การเชิญคู่ขัดแย้งมาเผชิญหน้ากันคงไม่เกิดประโยชน์ อย่างที่รู้กันต่างฝ่ายต่างถืออัตตา มีความเป็นตัวกูของกู สิ่งนี้พิสูจน์ได้จากคำพูดของ สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกปปส.เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ฝ่ายมีอำนาจต้องการจะเดินหน้า แต่ว่าเทพเทือกยังคงย่ำอยู่กับที่ไม่เปลี่ยนแปลง
มีการพูดถึงนปช. มีการกล่าวถึง ทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงคดีเผาบ้านเผาเมือง ซึ่งทุกเรื่องที่มีการกล่าวหากันไปนั้น สไตล์นักการเมืองอย่างเทพเทือกก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นพวกถนัดเอาดีเข้าตัว เมื่อเริ่มต้นก็ตั้งการ์ดสูงขนาดนี้ หรือเป็นเพราะเอาแต่เชลียร์รัฐบาลเห็นดีเห็นงามกับทุกสิ่งที่คณะรัฐบาลชุดนี้ทำ จึงมองฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูแบบถาวร
ด้วยท่วงทำนองเช่นนี้ นี่คืออุปสรรคสำคัญของกระบวนการสร้างความปรองดอง เนื่องจากมีการตั้งแง่กับฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามพวกของตัวเอง ชี้ให้เห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของฝ่ายตรงข้าม ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงหากมองไปยังสิ่งที่ม็อบสร้างวิกฤติเทียมของเทพเทือก ถามว่ามีสิ่งไหนที่เป็นการเคลื่อนไหวด้วยความสงบ อหิงสาและไม่ผิดกฎหมายบ้าง
เห็นอาการเช่นนี้ของเทพเทือก ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดง จึงออกมาตั้งคำถามทันที ไม่รู้ว่าอะไรทำให้สุเทพคิดว่าตัวเองสำคัญถึงขั้นกำหนดเงื่อนไขการปรองดองก่อนเริ่มต้นได้ ถือเป็นความเลอะเลือนอย่างยิ่ง เพราะคงไม่มีใครที่จะคิดบ้องตื้นได้ขนาดนี้ คิดว่าตัวเองคือศูนย์กลาง และการปรองดองจะเกิดได้ภายใต้ความต้องการของตนเท่านั้น
ณัฐวุฒิอธิบายต่อว่า การที่นปช.แสดงจุดยืนให้ความร่วมมือนั้นไม่เห็นเทพเทือกอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย เพราะได้มองข้ามไปถึงเป้าหมายว่าจะช่วยกันอย่างไรให้คนที่เห็นต่างอยู่ร่วมกันในหลักการและกติกาที่ยอมรับกันได้ ข้อเสนอใดๆ ที่มีจะนำไปเสนอในเวทีพูดคุย เพราะเชื่อว่าพูดกันไปมาตอนนี้มีแต่จะทำให้ยุ่ง และกระบวนการเริ่มนับหนึ่งไม่ได้
ถูกต้องตามที่ณัฐวุฒิว่ามา คือนปช.เป็นกลุ่มที่สูญเสียชีวิตแนวร่วมกว่า 100 ชีวิต บาดเจ็บกว่า 2,000 คน ทั้งมวลชนและแกนนำสลับกันเข้าคุกเป็นว่าเล่น จนภาษานักเคลื่อนไหวเขาว่าไว้เจ็บปวดจนไม่มีเลือดจะกลืน ไม่มีน้ำตาจะกลั้น เพราะมันไหลออกไปแทบหมดตัวแล้ว เมื่อมีใครพูดถึงเรื่องการปรองดองฝ่ายประชาธิปไตยก็ขานรับตลอดมา
ต้องไม่ลืมว่า แรกเริ่มเดิมทีนปช.อาจถูกมองสู้เพื่อทักษิณ แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้พิสูจน์แล้วว่าคนกลุ่มนี้เป็นการต่อสู้ทางการเมือง ก้าวข้ามเรื่องทักษิณไปนานแล้ว และไม่ใช่การต่อสู้ทางทหาร เมื่อเป็นการต่อสู้ทางการเมืองย่อมปฏิเสธเวทีที่จะพูดคุยกันด้วยเหตุผลเพื่อหาทางออกจากความขัดแย้งโดยสันติไม่ได้ ส่วนใครที่ออกมาตั้งแง่ คนทั่วไปย่อมรู้อยู่แล้วว่าการต่อสู้ที่อ้างมวลมหาประชาชนนั้นแท้จริงแล้วเพื่ออะไรกันแน่
นี่แหละ เป็นสิ่งที่บิ๊กตู่และคณะผู้มีอำนาจจะต้องไปตกลงกันว่า ถ้ามีใครทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองจะจัดการอย่างไร แต่ประสาคนกันเองคงไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรที่จะพูดคุยทำความเข้าใจ เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นพวกเอาแต่ใจและอยากได้โน่นได้นี่ แต่นาทีนี้ไม่น่าจะอยู่ในฐานะผู้ต่อรอง จังหวะก้าวของเทพเทือกรอบนี้ เหมือนอย่างที่ณัฐวุฒิว่า ผู้มีอำนาจกำลังจะเล่นบทพระเอกแท้ๆ แต่คนรักเก่าออกมายืนเหวี่ยงอยู่อย่างนี้ จัดการให้ดีก็แล้วกัน