หมอวิชัยพลวัต 2017
เมื่อวานนี้ การชี้ชะตากรรมบริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IFECยังไม่จบสิ้นอย่างเป็นทางการ เพราะต้องรอการประชุมอีก 15 วันข้างหน้า เนื่องจากการประชุมจบลงกลางคันดื้อๆ ไม่ครบถ้วน แต่ชะตากรรมของธุรกิจของนายแพทย์วิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ประธานกรรมการบริษัท ผู้ถือหุ้นเพียงแค่ 3% ของบริษัทนี้ ถือว่าจบสิ้นโดยพฤตินัยแล้ว
เมื่อวานนี้ การชี้ชะตากรรมบริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IFECยังไม่จบสิ้นอย่างเป็นทางการ เพราะต้องรอการประชุมอีก 15 วันข้างหน้า เนื่องจากการประชุมจบลงกลางคันดื้อๆ ไม่ครบถ้วน แต่ชะตากรรมของธุรกิจของนายแพทย์วิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ประธานกรรมการบริษัท ผู้ถือหุ้นเพียงแค่ 3% ของบริษัทนี้ ถือว่าจบสิ้นโดยพฤตินัยแล้ว
ความพยายามยื้อเพื่ออยู่ในตำแหน่งอย่างดื้อรั้นของหมอวิชัยเมื่อวานนี้ ทำให้บรรดาผู้ถือหุ้นเอือมระอาจนถึงขั้น“ล้มกระดาน” ไม่ยอมรับคณะกรรมการใหม่ที่หมอวิชัย เสนอไป 5 คนอย่างหมดจด
สัญญาณชัดเจนว่า “ไม่เอาหมอวิชัย” ของผู้ถือหุ้นที่ใช้สิทธิเข้าประชุมดังกล่าววานนี้ แม้ว่าผู้ถือหุ้นดังกล่าวจะตัดสินใจถูกหรือผิดก็ตามที หากแม้หมอวิชัย จะอ้างสิทธิ์โดยนิตินัยในฐานะประธานกรรมการบริษัทต่อไป มีแต่จะยิ่งสร้างความเสียหายให้IFEC มากเท่านั้น
คนที่หน้าด้านเกินพอ …ซึ่งโดยนิสัยเท่าที่สัมผัสมาหมอวิชัย เป็นคนที่มีเกียรติยศและหยิ่งในศักดิ์ศรีพอสมควร ไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้น…ที่จะดันทุรังนั่งเป็นประธานบริษัทมหาชนที่ตนเองมีส่วนสร้างความเสียหายไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ทั้งที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ปฏิเสธความชอบธรรมของตำแหน่งดังกล่าวอย่างเป็นทางการแล้ว
ข้ออ้างทางกฎหมายหรือดันทุรังเพื่ออยู่ในตำแหน่งดังกล่าว มีแต่จะทำลายตัวเองและทำลายความสามารถทางการเงินของบริษัทลงไปมากยิ่งขึ้น
ความวุ่นวายมายาวนานกว่า 2 เดือนเกี่ยวกับปัญหาการบริหารงานของ IFECที่กรรมการและผู้บริหารจำนวนหนึ่งลาออกทำให้จำนวนกรรมการทั้งหมดของบริษัทต่ำกว่าจำนวนองค์ประชุมตามที่กฎหมายกำหนดและในที่สุดIFECผิดนัดชำระหนี้จากการออกตั๋วแลกเงินบางส่วน ถือว่ามีสวนทำให้ภาพลักษณ์และฐานะทางการเงินของบริษัทยับเยินมากเกินพอแล้ว เพียงแต่จะยอมรับหรือไม่
นับแต่การเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นครั้งสำคัญรอบ 3 ปี หลังจากการเปลี่ยนครั้งใหญ่ ครั้งแรกปี 2556 ของบริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือIFEC จากการที่ 2 ผู้ถือหุ้นใหญ่รายเดิม ร่วมขายหุ้นทิ้งต่อเนื่องตลอดปีนี้ โดยอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ …แต่กลับมีผู้ถือหุ้นรายใหม่ดอดเก็บหุ้น จนมีสัดส่วนการถือหุ้นที่ต้องรายงานต่อตลาดฯ แล้วถูกปฏิเสธที่จะให้เข้ามาร่วมทำการบริหารกิจการ ถือเป็นความผิดปกติ
กลุ่มทุนใหม่นายทวิช เตชะนาวากุล และลูกชาย ที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเจ้าของนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค ที่ซื้อหุ้นIFEC มาจนเกินกว่าสัดส่วน 10.21% แล้วถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนเข้าร่วมบริหาร ให้ภาพที่ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับข้ออ้างของหมอวิชัย และนายสิทธิชัย ที่เคยประกาศว่า จะทำตามความฝันในการผลักดันให้ IFEC เป็นหุ้นพลังงานทางเลือกระดับหัวแถวของไทย แต่ไม่เคยทำได้ตามเป้าหมาย แล้วสร้างคำถามตามมา หลังจากดีลซื้อกิจการ ด้วยการทุ่มเงินสด 2.5 พันล้านบาท ผ่านบริษัทลูกชื่อICAP เข้าซื้อกิจการโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ โดยเป็นการซื้อโรงแรมมา 1.5 พันล้านบาท และหนี้ของโรงแรมที่มีอยู่ประมาณ 1 พันล้านบาท
ช่วงแรกเมื่อปี 2557 นั้นนพ.วิชัยและนายสิทธิชัย ถือเป็น “ดาวรุ่งคนล่าสุด” ที่ได้รับความสนใจจากนักวิเคราะห์ และกองทุนต่างๆ อย่างมาก ที่มีมุมมองว่านับแต่ปี 2558 เป็นต้นไป IFEC จะมีกำไรสุทธิโดดเด่นมาก จากการเติบโตก้าวกระโดด ที่เป็นโมเมนตัมใหม่ จนกลายมาเป็นคำแนะนำ “ซื้อ” ของนักวิเคราะห์ทุกสำนัก ทำให้ราคาหุ้น IFEC สุดแสนจะหวือหวาขึ้นสูงสุดเกือบ 18 บาท ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2558 กลายเป็นฝันร้ายมาจนถึงปัจจุบันและในอนาคตอีกนานหลายเดือนข้างหน้า
ผลพวงของปฏิบัติการดังกล่าว แม้ทำให้กำไรระยะสั้นของIFEC กลับมาโดดเด่นในทางบัญชี แต่ข้อเท็จจริงคือสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทร่อยหรออย่างรุนแรง เพราะการซื้อโรงแรมดังกล่าว ทำให้ตกอยู่ในกับดักทางการเงิน ต้องออกตราสารหนี้ระยะสั้นไปซื้อกิจการที่เป็นความผิดพลาดอย่างมาก
การลาออกของนายสิทธิชัย อย่างกะทันหัน ด้วยสาเหตุอ้อมๆ แอ้มๆ ตามมาด้วย สงครามภาพลักษณ์ พร้อมกับปฏิบัติการ “โยนบาปให้แพะ” อย่างเอาจริงเอาจัง ผ่านทั้งกระแสข่าวลือและข่าวจริง สะท้อนปัญหาเรื้อรัง 2 เรื่องใหญ่คือ 1)ความไม่ชอบมาพากลในการซื้อโรงแรมดาราเทวี ที่เชียงใหม่ 2)การเบี้ยวหนี้ระยะสั้นจากการออกตั๋วบี/อีต้นทุนสูง
ปัญหาทั้งหมดนี้ “หมอวิชัย” ไม่เคยกล่าวโทษตนเองเลย ทั้งที่ร่วมลงนามในดีลที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด ผลลัพธ์คือความวุ่นวายที่มีโอกาสทำให้IFEC หมดอนาคต
ความวุ่นวายดังกล่าวจะจบลงง่ายมากในระยะเฉพาะหน้า หากหมอวิชัย จะบอกแค่เพียงว่า “ผมพอแล้ว” และลาออกจากทุกตำแหน่งใน IFECเพื่อเปิดทางให้กลุ่มใหม่เข้ามารับช่วงบริหารกิจการ ฟื้นฟูความเชื่อมั่นกลับคืนมาในอนาคต
หมอวิชัย อาจมองว่า นี่ไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสม แต่การดันทุรังของหมอวิชัย ในตำแหน่งประธานกรรมการที่มีอำนาจทำการร่วมธุรกรรมที่เกิดขึ้นต่อไป ทั้งที่ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อีกแล้ว ก็มีลักษณะทำนองนิทานเก่าแก่ของอีสปเรื่อง“สุนัขในรางหญ้า” ไม่มีผิด
พูดอย่างนี้ ด้วยความปรารถนาดีต่อหมอวิชัย และIFEC พร้อมกัน แต่อาจถูกมองตรงกันข้ามได้ว่าเอียงข้าง..ก็ไม่ว่ากัน..!!