SCC กำไรแข็งแกร่ง

มีการวิเคราะห์กันว่า SCC จะเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับ sentiment เชิงบวกจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นในปี 2560 ซึ่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐนอกจากจะช่วยทำให้แนวโน้มการดำเนินงานของธุรกิจวัสดุก่อสร้างของบริษัทมีทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว การลงทุนดังกล่าวยังจะช่วยหนุนและกระตุ้นให้ภาคเอกชนเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นได้ในอนาคตด้ว


–คุณค่าบริษัท–

 

มีการวิเคราะห์กันว่า บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC จะเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับ sentiment เชิงบวกจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นในปี 2560 ซึ่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐนอกจากจะช่วยทำให้แนวโน้มการดำเนินงานของธุรกิจวัสดุก่อสร้างของบริษัทมีทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว การลงทุนดังกล่าวยังจะช่วยหนุนและกระตุ้นให้ภาคเอกชนเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นได้ในอนาคตด้วย

นอกจากนี้ แนวโน้มส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเฉลี่ยในปี 60 ยังอยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่องจากปัญหาด้าน supply จึงคาด HDPE-Naphtha และ PP-Naphtha เฉลี่ยจะทรงตัวอยู่ที่ราว 740 $/ton และ 650 $/ton ตามลำดับ จากความต้องการในต่างประเทศยังคงเติบโตได้ดี

สำหรับธุรกิจปูนซีเมนต์คาดอานิสงค์จากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่เริ่มชัดเจน จะช่วยหนุนธุรกิจปูนซีเมนต์ให้กลับมาเติบโตได้ราว 3-5% โดยเฉพาะความต้องการจากการก่อสร้างมอเตอร์เวย์เส้นทางบางปะอิน-นครราชสีมา และเส้นทางบางใหญ่-กาญจนบุรี ที่ได้ทยอยลงนามงานโยธาเรียบร้อยแล้ว และแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้งสายสีส้ม สายสีชมพู และ สายสีเหลือง ที่มีกำหนดการเริ่มก่อสร้างในปี 60

ดังนั้นคาด SCC จะได้รับอานิสงค์จากการลงทุนดังกล่าวอย่างชัดเจนเนื่องด้วยมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงกว่า 40% นอกจากนี้การเปิดโรงปูนแห่งใหม่ทั้งในเมียนมาร์ และลาวในช่วงปี 59-60 นี้ จะช่วยหนุนปริมาณขานในภูมิภาคอาเชียนให้เติบโตได้อีกราว 10% ซึ่งจะทำให้ธุรกิจปูนซีเมนต์ที่ชะลอตัวอยู่ในปัจจุบันกลับมาเติบโตหนุนผลการดำเนินงานรวมได้ให้เติบโตแข็งแกร่ง

ตามผลการดำเนินงาน สำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2559 บริษัทมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 423,442.37 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 439,613.70 ล้านบาท ขณะที่กำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 56,084.19 ล้านบาท หรือ 46.74 ล้านบาท หรือ 46.74 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 45,399.71 ล้านบาท หรือ 37.83 บาทต่อหุ้น โดยผลการดำเนินงานดังกล่าวปรับตัวขึ้นเนื่องจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ดีขึ้น

เมื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินของบริษัทเพื่อใช้เป็นตัวแปรตัดสินใจลงทุนพบว่า ฐานะทางการเงินของบริษัทยังดูดีอยู่ เพราะบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียน 155,990.72 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับหนี้สินหมุนเวียน 118,068.01 ล้านบาท ได้ค่า CURRENT RATIO อยู่ที่ระดับ 1.33 เท่าแสดงว่า สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังมีมากพอสมควร

ส่วนปัญหาหนี้สินของบริษัทไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง เพราะบริษัทมีหนี้สินรวมแค่ 258,069.87 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีมากถึง 281,618.12 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 0.92 เท่าแสดงว่า ปัญหาหนี้สินที่มีอยู่ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานบริษัท

ในขณะที่นักวิเคราะห์ บล. เคทีบี ปรับราคาเหมาะสมของ SCC ขึ้นเล็กน้อยเป็น 624 บาท (อิง P/E 15 เท่า) เพิ่มขึ้นสะท้อนกำไรปีนี้ที่สูงขึ้นกว่าที่เคยคาดเล็กน้อย โดยมองว่าบริษัทเป็นตัวเต็งที่จะได้ sentiment เชิงบวกจากการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ขณะที่มองส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติกที่อ่อนตัวลงเป็นเพียงผลระยะสั้น และจะปรับตัวสูงขึ้นจากระดับปัจจุบันได้ในช่วงที่เหลือของปี ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

 

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

1.สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 369,070,600 หุ้น 30.76%

2.บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 100,268,897 หุ้น 8.36%

3.STATE STREET BANK EUROPE LIMITED 53,782,124 หุ้น 4.48%

4.CHASE NOMINEES LIMITED 35,376,669 หุ้น 2.95%

5.สำนักงานประกันสังคม 24,850,850 หุ้น 2.07%

 

รายชื่อกรรมการ

1.นาย จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานกรรมการ

2.นาย รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่

3.นาย รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการ

4.นาย พนัส สิมะเสถียร กรรมการ

5.นาย ยศ เอื้อชูเกียรติ กรรมการ

Back to top button