BIG:กำไร Q4/59 ทุบสถิติสูงสุดใหม่ แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 6.90 บาท

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(3ก.พ.)ว่า บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BIG คาดกำไรสุทธิ ไตรมาส 4/59 ที่ 250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 99% เทียบไตรมาสก่อนหน้าและ 26% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจาก (1) ผู้ผลิตกล้องมีการออกสินค้าใหม่ โดยเฉพาะ Fuji-XA3 และ Olympus Pen E-PL8 ที่ตลาดให้การตอบรับเป็นอย่างดี หลังจากที่ชะลอการเปิดตัวสินค้าไปในช่วงไตรมาส 3/59

(2) สินค้าของ Sony ทั้งกล้องและเลนส์ ที่ให้ยอดรีเบทสูงกว่าแบรนด์อื่น สามารถกลับมาผลิตและจำหน่ายได้ตามปกติ ทำให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของ BIG จะเพิ่มขึ้นจาก 29.2% ในไตรมาส3/59 กลับเข้าสู่ระดับปกติเท่ากับ 1H16 ที่ 32.0% (3) ปัจจัยฤดูกาลที่เป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยว กอปรกับ ได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากมาตรการช้อปช่วยชาติที่ขยายช่วงเวลาเพิ่มขึ้นเป็น 14 วัน จาก 7 วัน ซึ่งเราคาดว่าเฉพาะมาตรการนี้จะสร้างรายได้ราว 200 ล้านบาท หรือประมาณ 14% ของคาดการณ์รายได้จากการขายที่ 1,450 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% เทียบไตรมาสก่อนหน้าและ 4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

ด้วยเงื่อนไขด้านบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้น จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ธ.ค. 16 ที่ฟื้นตัวเป็น 73.7 จุด จาก 72.3 จุด ใน พ.ย. 16 และยังมีแรงส่งจากปัจจัยฤดูกาลที่ยังอยู่ในช่วง High Season ของการท่องเที่ยว ซึ่ง ไตรมาส1/60 เป็นช่วงที่คาดว่า BIG จะรับรู้ผลบวกดังกล่าวเต็มไตรมาส ต่างจากไตรมาส4/59 ที่กำไรเพิ่งกระชากแรงตั้งแต่กลาง พ.ย. 16 ขณะที่ ผู้ผลิตกล้องทั้ง Canon และ Nikon ที่เป็นเจ้าตลาด DSLR มีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่เพื่อรุกตลาด Mirrorless เมื่อผนวกกับ รายได้จากงานบริการที่เพิ่มขึ้น ทั้งร้านพิมพ์ภาพดิจิตอล (Wonder Photo Shop) ที่เปิดเพิ่มอีก 1 สาขา และการบริหารสาขาให้ AIS จำนวน 3 สาขา ซึ่งเป็นส่วนธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูงกว่าการขายกล้อง ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิจะสร้างสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่องใน ไตรมาส1/60

ด้วยแนวโน้มการฟื้นตัวของกำไรสุทธิที่จะกลับมาโดดเด่นตั้งแต่ไตรมาส4/59 ทำให้การทรุดตัวที่เกิดขึ้นในไตรมาส3/59 เป็นเพียงปรากฎการณ์ชั่วคราว สะท้อนให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ตลาดกล้อง Mirrorless ยังไม่แย่ ในทางตรงข้ามกลับอยู่ในช่วงเติบโตสูง โดย BCN ผู้รวบรวมข้อมูลการจำหน่ายกล้องของผู้ผลิตในญี่ปุ่น คาดว่ามูลค่าตลาดกล้อง Mirrorless ปี 59 ทั่วโลกเติบโตถึง 63% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและมีแนวโน้มเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนในปี 60 ทำให้เรากลับมามั่นใจกับแนวโน้มการเติบโตของ BIG ในช่วง 3 ปีข้างหน้าอีกครั้ง

และจากความสามารถในการสร้าง ROE และ ROA ได้สูงถึง 60% และ 30% ด้วยฐานะทางการเงินที่เป็น Net Cash เราจึงมองว่า BIG ไม่ควรซื้อขายในระดับ PE ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มค้าปลีกสินค้า IT ซึ่งมีค่าเฉลี่ย ROE และ ROA ต่ำเพียง 15% และ 5% ตามลำดับ จึงปรับ PE Multiplier ไปอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยที่ 25 เท่า เมื่อคิดเป็น PEG เทียบกับอัตราการเติบโตเฉลี่ยใน 3 ปีข้างหน้า จะอยู่ที่ 1.0 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มค้าปลีกสินค้า IT ที่ 2.0 เท่า