พาราสาวะถี อรชุน
ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความเห็นเรื่องปรองดองจากพรรคการเมือง พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหมออกอาการปลื้มสุดๆ กับความร่วมมือที่ได้รับ แต่นั่นยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะปุจฉาที่ตามมาคือ ข้อเสนอทั้งหลายได้รับการตอบสนองมากน้อยเพียงใด กระบวนการกลั่นกรองจนส่งต่อไปถึงป.ย.ป. จะเหลือข้อเสนอของพรรคการเมืองสักกี่ประเด็น
ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความเห็นเรื่องปรองดองจากพรรคการเมือง พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหมออกอาการปลื้มสุดๆ กับความร่วมมือที่ได้รับ แต่นั่นยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะปุจฉาที่ตามมาคือ ข้อเสนอทั้งหลายได้รับการตอบสนองมากน้อยเพียงใด กระบวนการกลั่นกรองจนส่งต่อไปถึงป.ย.ป. จะเหลือข้อเสนอของพรรคการเมืองสักกี่ประเด็น
เป็นคำถามประการต่อมาว่า ที่พอใจในมุมของปลัดกลาโหมเป็นในแง่ของจำนวนการตอบรับของทุกพรรคการเมืองหรือในส่วนของเนื้อหากันแน่ หากคิดแค่ว่าทุกพรรคพร้อมใจกันมาเข้าร่วม แค่นั้นจะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ แต่หากพอใจในแง่ข้อเสนอ สิ่งที่จะต้องแสดงความจริงใจต่อมาของผู้มีอำนาจคือ การปลดล็อกให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมได้ภายใต้ข้อจำกัด
เหตุที่ต้องมีหมายเหตุแนบท้าย นั่นเป็นเพราะคนมีอำนาจยังมิอาจไว้วางใจนักการเมืองและพรรคการเมืองได้ จึงต้องวางเงื่อนไขกันบ้าง แต่ถึงกระนั้นหากท่านจริงใจให้เขารวมตัวเพื่อระดมสมอง เสนอแนวทางที่เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง เรื่องที่ไม่พึงประสงค์ก่อนการรัฐประหารก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น และคงไม่มีพรรคการเมืองใดบ้องตื้นจะไปฝ่าฝืนอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แต่ก็อีกนั่นแหละ ในบริบทที่เห็นเป็นประชาธิปไตยเพียงแค่เปลือก เนื่องจากอำนาจการบริหารและจัดการทั้งหมดเป็นไปในลักษณะเผด็จการ จึงอย่าไปคาดหวังอะไรให้มาก อย่างไรก็ตาม หลังจากบริหารงานบ้านเมืองมาเกือบ 3 ปี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็คงซึมซับและรับทราบเป็นอย่างดีแล้วว่า เป็นผู้นำประเทศนั้นมันยากหรือง่าย
ตัวอย่างการใส่เกียร์ถอยเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ก็น่าจะเป็นบทพิสูจน์ได้ ด้านหนึ่งอย่างที่รู้กันคนที่ออกมาเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ก็พวกเดียวกันที่ยกมือเชียร์คณะรัฐประหารแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ขณะที่อีกด้านเสียงคัดค้านต่อกรณีนี้มันกว้างขวาง ไม่ใช่ขีดวงเฉพาะคนกันเองเท่านั้น เมื่อมองหนทางที่จะเดินด้วยอาการดันทุรังมันมีแต่จะสร้างปัญหา แม้ว่าจะมีมาตรา 44 เป็นยาวิเศษอยู่ในมือ ก็ใช่ว่ามันจะรักษาอาการโรคขาลงของรัฐบาลได้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
สิ่งสำคัญต้องไม่ลืมว่าเวลานี้รัฐบาลกำลังเดินหน้าสร้างความปรองดองอย่างเต็มที่ โดยหวังว่ามันจะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง นั่นหมายความว่า ขณะที่ลุยดะบังคับใช้กฎหมายพิเศษในหลายๆ เรื่อง อีกด้านก็ต้องพิจารณาถึงกระบวนการดำเนินการ เพื่อไม่ให้เกิดภาพของการเลือกปฏิบัติหรือบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม
เพราะสิ่งนี้คือตัวสร้างปัญหามาตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา กระนั้นก็ตาม ใช่ว่าแค่ความเป็นกลางและเป็นธรรมเพียงอย่างเดียว การยอมรับความจริงก็ถือเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นมาควบคู่กันไปด้วย ความจริงที่เวลานี้ผู้มีอำนาจไม่อาจจะยอมรับได้นั่นก็คือ ทหารคือคู่ขัดแย้ง หากยังยืนยันเช่นนี้ โอกาสที่จะได้รับความร่วมมือจากฝ่ายที่เรียกร้องก็เกิดลำบาก
ดังที่ อังคณา นีละไพจิตร โยนคำถามกลางวงเสวนาวาทกรรมปรองดองหรือลบลืม แล้วเราจะรักกันได้อย่างไร เมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา ทหารเข้ามาทำรัฐประหาร ส่วนหนึ่งเป็นการอ้างว่าเข้ามาเพื่อสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น กระบวนการปรองดองที่กำลังเกิดขึ้นนี้จึงถือเป็นพันธสัญญาที่รัฐบาลเคยให้ไว้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการปรองดองคือ การยอมรับความแตกต่างหลากหลาย และต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนแต่ละฝ่ายได้ออกมาแสดงความคิดเห็น โดยปราศจากความหวาดกลัว
แต่ปัจจุบันภายใต้สถานการณ์ที่กระบวนการปรองดองกำลังเกิดขึ้น ก็ยังคงมีการบังคับใช้กฎหมายที่มีลักษณะของการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอยู่ ฉะนั้นสิ่งแรกที่รัฐบาลควรดำเนินการคือ การเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้แสดงออกอย่างเต็มที่ และรัฐบาลต้องอดทน รับฟัง แม้ประชาชนจะพูดในสิ่งที่รัฐบาลไม่ต้องการจะฟังก็ตาม
การปรองดองจะเกิดขึ้นได้สิ่งหนึ่งที่ต้องเกิดขึ้นคือ ประชาชนต้องได้รับรู้ความจริง และในหลักการสากลเองก็ระบุว่า การรับรู้ความจริงเป็นสิทธิของผู้สูญเสีย จากนั้นสิ่งที่ประชาชนต้องการหลังจากรู้ความจริงก็คือความยุติธรรม และการสร้างหลักประกันต่อไปในอนาคตว่า เหตุการณ์ความขัดแย้งที่นำไปสู่ความสูญเสียแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก
สำคัญที่สุดสำหรับกระบวนการปรองดองคือ ทุกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะปรองดองจะต้องมีอำนาจเท่าเทียมกัน ไม่ควรมีใครมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่น การจะทำให้คนในสังคมหันมาคืนดี ปรองดองกัน ไม่สามารถที่จะใช้การออกกฎหมายมาบังคับแล้วทำให้คนคืนดีกันได้ แต่ต้องใช้หัวใจมานั่งคุยกันด้วย การจะปรองดองไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้การรับฟังความคิดเห็นเสร็จสิ้น แล้วมีการออกมาตราต่างๆ ตามมา
น่าสนใจ ตามที่อังคณาเสนอแนะ การสร้างความปรองดองสามารถที่จะเริ่มทำได้ตั้งแต่วันนี้ โดยการให้ความยุติธรรมกับผู้ต้องหาการเมือง เคารพหลักสิทธิมนุษยชน และเคารพสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหา การเยียวยาที่ดีที่สุดคือ การให้ประชาชนได้รับรู้ความจริง คำถามที่ไร้คำตอบก็คือ หากว่าความจริงคือความขัดแย้งเกิดขึ้นจากการรัฐประหาร รัฐบาลจะทำอย่างไร
เช่นเดียวกันกับการตั้งข้อสังเกตจาก วิบูลย์ บุญภัทรรักษา พ่อของไผ่ ดาวดิน ที่ระบุว่า หากการปรองดองจะพูดคุยกันเพียงเฉพาะนักการเมืองและแกนนำ อาจจะไม่สามารถปรองดองได้จริง เพราะปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้มีประชาชน มีชาวบ้านรวมอยู่ในความขัดแย้งด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ผู้มีอำนาจสั่งว่าจะปรองดอง แต่ในทางปฏิบัติทหารในพื้นที่ยังคงละเมิดสิทธิของประชาชนอยู่ ยังกลั่นแกล้งประชาชน หากจะปรองดองกันจริง ต้องเปิดเผยมาให้หมดว่าความจริงเป็นอย่างไร
นี่ต่างหากคือความยาก วันนี้บิ๊กตู่และชาวคณะมีโอกาสที่จะแสดงความจริงใจซึ่งได้ย้ำมาโดยตลอดนับตั้งแต่ยึดอำนาจ โอกาสที่จะแสดงความจริงทุกอย่างให้สังคมรับรู้และร่วมเดินไปด้วยกัน อยู่ที่ว่าท่านจะใช้มันหรือไม่ หรือจะปล่อยให้ความจริงมาปรากฏหลังจากที่พ้นตำแหน่ง หมดอำนาจไปแล้ว และให้คนมาด่าไล่หลัง ท่านมีสิทธิ์เลือกว่าหลังวางมือจะเป็นวีรบุรุษหรือทรราช