JWD ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 7% เจรจาทำ M&A ทั้งใน-ตปท.

JWD ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 7% เจรจาทำ M&A ธุรกิจเกี่ยวเนื่องทั้งใน-ตปท. คาดชัดเจนในปีนี้ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ตปท.เป็น 25% ภายในปี 63 จากปัจจุบัน 8%


นายชวนินทร์ บัณทิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 7% หรือคิดเป็น 2,400-2,500 ล้านบาท (ไม่รวมธุรกิจใหม่) โดยเป็นไปตามการเติบโตในแต่ละธุรกิจ ทั้งธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น, ธุรกิจรับบริหารจัดการยานยนต์และชิ้นส่วน ,ธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตราย และธุรกิจรับขนส่งสินค้า ซึ่งบริษัทฯมีสัดส่วนรายได้มาจากบริหารจัดการคลังสินค้าทั่วไป คลังสินค้าห้องเย็น บริหารสินค้าอัตราย รวมถึงบริหารจัดการคลังสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนราว 77% ที่เหลือจะมาจากธุรกิจขนย้าย เช่น อาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย ,ขนส่งรถยนต์ และจัดเก็บเอกสาร

ด้านกำไรสุทธิปีนี้คาดว่าจะดีกว่าปีก่อน จากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงานและการควบคุมต้นทุนในการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากได้บันทึกค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปแล้วในไตรมาส 2-3 ของปีที่ผ่านมา เช่น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ ,ค่าใช้จ่ายด้านการพัฒนาธุรกิจ ,ค่าที่ปรึกษาการลงทุน เป็นต้น และคาดอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 32-33%

ขณะที่ปีนี้บริษัทมีแผนเพิ่มจำนวนรถขนส่งเพิ่มเป็น 60 คัน และเพิ่มรถยนต์เล็ก จำนวน 30-40 คัน รวมถึงรถจักรยานยนต์เพื่อขยายบริการใหม่ๆ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาส 2/60 วางงบลงทุนไว้ราว 300-500 ล้านบาท

ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับโมเดลธุรกิจคลังสินค้าประเภทห้องเย็นเพื่อลดการพึ่งพาสินค้าอาหารทะเลที่มีความต้องการเช่าพื้นที่ลดลง จากเดิมที่มีสัดส่วนเป็นสินค้าอาหารทะเล 70% ของรายได้จากคลังสินค้าห้องเย็น โดยตั้งเป้าลดสัดส่วนเหลือ 40% ภายในปีนี้ โดยจะมุ่งเน้นการรับฝากสัตว์ปีกเข้ามาทดแทน

โดยคลังสินค้าห้องเย็นบนถนนบางนา-ตราด กม.19 ที่อยู่ในพื้นที่เขตปลอดภาษี (Free Zone) ปัจจุบันมีลูกค้าสนใจเช่าพื้นที่เพื่อใช้เป็น International Hub กระจายสินค้าในภูมิภาค ส่วนห้องเย็นบนถนนสุวินทวงศ์ บริษัทฯได้ลงทุนสร้างห้องแช่แข็ง เพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น คาดว่าจะเริ่มมีรายได้เข้ามาในไตรมาส 3/60 และทั้งปีนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 5-6 ล้านบาท ส่วนปี 61 คาดว่าจะมีรายได้ราว 20 ล้านบาท อีกทั้งได้ลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์ รูฟท็อปบนหลังคาอาคารคลังสินค้าห้องเย็น ซึ่งสามารถลดค่าไฟฟ้าได้กว่า 3 ล้านบาทต่อปี

ด้านธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์และชิ้นส่วน คาดว่าจะมีการเติบโตที่ดีในปีนี้ หลังจากได้ร่วมมือกับบริษัท สยามกลการอุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อขยายธุรกิจสู่การให้บริการด้านโลจิสติกส์ชิ้นส่วนยานยนต์แก่สยามกลการอุตสาหกรรม คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาสแรกของปีนี้ จำนวน 3 โรงงาน จากพื้นที่ทั้งหมด 6-7 โรงงาน และน่าจะบันทึกรายได้เข้ามาในช่วงครึ่งปีแรกนี้ หรืออย่างช้ากลางปี อย่างเร็วไตรมาส 2/60 โดยตั้งเป้าจะมีรายได้ธุรกิจร่วมทุนราว 50 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทยังคาดหวังการขยายธุรกิจการรับฝากและบริหารยานยนต์และชิ้นส่วนมากขึ้นในส่วนของลูกค้าหลัก อย่าง ค่ายรถยนต์นิสสัน ที่ปีนี้มีแผนการส่งออกรถยนต์ไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่ายรถยนต์นิสสัน ก็มีการร่วมมือกับค่ายรถยนต์มิตซูบิชิ ก็น่าจะส่งผลทำให้ JWD ได้รับอานิสงส์ดังกล่าวไปด้วย

ส่วนธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตราย บริษัทฯได้เปิดให้บริการคลังสินค้าใหม่ที่ขยายเพิ่มเติมในแหลมฉบังด้านนอกท่าเรือ และจะเริ่มรับรู้รายได้เต็มปีจากศูนย์กระจายสินค้าเคมีภัณฑ์ (JCS) จะรองรับการจัดการสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ออกจากท่าเรือเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้น คาดหวังว่าปีนี้จะเพิ่ม Occupancy ให้เป็นราว 60-70% จากปัจจุบันมี Capacity อยู่ที่ 40-50% และในปีหน้าบริษัทฯก็มีแผนจะขยายคลังสินค้าอันตรายด้านนอกท่าเรือเพิ่มเติมอีก ข

ขณะที่การรับฝากและบริหารคลังสินอันตรายด้านในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ปีนี้ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่ารายได้แบ่งให้ท่าเรือย้อนหลัง 5 ปี แล้ว แต่จะเป็นการแบ่งรายได้ให้กับท่าเรือจำนวน 2-3 ล้านบาท/เดือน ซึ่งปริมาณสินค้าหมุนเวียน คาดว่าปีนี่จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% ซึ่งจะเข้ามาชดเชยค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้กับท่าเรือได้

 ด้านธุรกิจขนย้าย บริษัทตั้งเป้าขยายพื้นที่มากขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาขยายไปยังพื้นที่ในเขตกรุงเทพตะวันออก เช่น กรุงเทพกรีฑา  ซึ่งจะส่งผลให้รายได้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และธุรกิจจัดเก็บเอกสาร ปีนี้จะขยายการให้บริการไปในประเทศกัมพูชามากขึ้น และอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายธุรกิจไปยังประเทศพม่าเพิ่มเติม

สำหรับการลงทุนใหม่ๆ บริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) จำนวน 1-2 ดิล ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกัน เช่น คลังสินค้า ,ห้องเย็น คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ โดยแหล่งเงินลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ บริษัทฯยังมีวงเงินที่ได้ขออนุมัติออกหุ้นกู้ไว้เหลืออยู่ 2,500 ล้านบาท และอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ขนาด 1,500 ล้านบาทคาดวาจะได้ข้อสรุปในปีนี้ ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อการลงทุนใหม่ๆได้

ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจในต่างประเทศเป็น 25% ภายในปี 63 จากปัจจุบันอยู่ที่ 8% เพื่อสร้างการเติบโตและบรรลุเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำธุรกิจให้บริการด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน โดยมีแผนลงทุนคลังสินค้าแห่งใหม่ที่กรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ภายในปีนี้ เพื่อรองรับความต้องการเช่าพื้นที่จัดเก็บสินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัว รวมถึงจะพิจารณาโอกาสที่เหมาะสมในการขยายการลงทุนในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน เพื่อเสริมสร้างธุรกิจให้มีความครบวงจร

Back to top button